AH ได้คำสั่งซื้อจีนต่อเนื่อง รถยนต์ Ev หนุน โบรกแนะซิ้อ
#AH #ทันหุ้น - AH ปี 24 มีการผลิตชิ้นส่วน EV มากขึ้น ปีหน้าจะมีการรับจ้างประกอบชิ้นส่วนให้กับค่ายรถยนต์จากจีนเพิ่ม
กำไรขั้นต้น 11.7% ดีขึ้นจาก 11.1% ใน 3Q22 และ 10.8% ใน 2Q23 เนื่องจากสินค้าใหม่มีความซับซ้อนมากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ 457 ลบ. (+0.2%YOY,+7%QOQ) ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าที่ 81 ลบ.(-47%YOY,+155%Q0Q) เทียบกับปีก่อนลดลงมากเพราะไม่มีส่วนแบ่งจากฮุนไดเข้ามาแล้วหลังมีการขายเงินลงทุนไปในช่วงปลาย1Q23 ส่วนการเพิ่มขึ้นจาก 2Q23 เป็นผลตามฤดูกาลและส่วนแบ่งขาดทุนจาก Purem ที่ลดลงหลังเริ่มดำเนินการแล้วในเดือน ก.ย.ดอกเบี้ยจ่ายที่ 124 ลบ. (+44%YOY,+12%QoQ) ส่วนใหญ่มาจากเงินกู้ยืมของบริษัทลูกที่โปรตุเกสที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
สำหรับการเข้ามาของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ทาง AH แจ้งว่าปัจจุบันมีการผลิตแล้วให้กับทาง Vinfast (รวมถึงบริษัทลูกที่โปรตุเกสและจีนก็มีการผลิตเช่นกัน) สำหรับปี 24 จะมีการรับจ้างประกอบชิ้นส่วนให้กับค่ายรถยนต์จากจีนเพิ่ม รวมถึงยังอยู่ระหว่างยื่นแข่งขันเพื่อผลิตชิ้นส่วนให้กับผู้ผลิตจีนอีก 1 ราย ทั้งนี้ในช่วงแรกของการผลิตชิ้นส่วน EV นั้นอาจจะเป็นรูปแบบ รับจ้างประกอบชิ้นส่วนที่เจ้าของค่ายรถยนต์นำเข้ามาจากจีนก่อน หลังจากนั้นจึงเริ่มผลิตชินส่วนในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้าต่อไป ส่วนการผลิตรถยนต์ EV ของทาง ISUZU AH ยังคงยืนยันว่าจะเริ่มผลิตในปี 2025 ตามเดิม
ปรับกำไรสุทธิปี 23 ขึ้นจากเดิม 5% มาอยู่ที่ 1,864 ล้านบาท (+2% YoY) หลังจากผลประกอบการในช่วง 9M23 คิดเป็นสัดส่วนกว่า83% ของกำไรทั้งปีที่ประเมิน โดยคาดว่าผลประกอบการช่วง 4 Q23 คาดว่าจะอยู่ในระดับ 390-400 ล้านบาท ชะลอตัวลงจาก3Q23 เพราะมีวันหยุดมาก ส่วนเทียบกับ 4022 ลดลงเพราะในปีก่อนมีการรับรู้รายได้จากงานที่มีกำไรสูงเป็นพิเศษเข้ามาจึงทำให้มีกำไรข้นต้นสูงถึง 13% แต่กำไรสุทธิในระดับดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับสูงอยู่ส่วนปี 24 ด้วยฐานที่เริ่มสูง ทำให้การเติบโตอาจจะไม่มากเท่า 2 ปีที่ผ่านมา แต่ด้วยการรับรู้รายได้จากคำสั่งซื้อใหม่ที่จะทยอยเข้ามารวมถึงการเปลี่ยนชว์รูมจากมาสด้าเป็นชางอัน ทำให้มีโอกาสที่รายได้จากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในประเทศจะกลับมาขยายตัวได้อีก โดยคาดรายได้อยู่ที่ 32,047 ล้านบาท (+5%YoY) และคาดกำไรสุทธิที่ 1,873 ล้านบาท (+0.5%YoY)
บล.พายแนะนำ "ซื้อ" เช่นเดิมด้วยปัจจัยบวกจากการเป็นผู้ประกอบการที่มีคำสั่งซื้อในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาแล้ว โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมได้ใหม่ที่ 46 บาท (8. 7 X PER'24E โดยปรับไปใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีแทน)