คณะนักวิทย์เอฟดีเอยัน “วัคซีนจอห์นสัน” ฉีดโดสเดียว-ป้องกันโควิดได้ถึง 66%
คณะนักวิทย์เอฟดีเอยัน - วันที่ 25 ก.พ. เดลีเมล์ รายงานว่า คณะนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (เอฟดีเอ) แถลงยืนยันว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่พัฒนาโดย บริษัท แจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล ในเครือของ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (เจแอนด์เจ) ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมยาและสินค้าในชีวิตประจำวัน เพียง 1 โดสมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในระดับความรุนแรงปานกลางถึงสาหัสที่ร้อยละ 66
และว่าวัคซีนของเจแอนด์เจซึ่งมีความคาดหวังว่าจะช่วยยับยั้งการระบาดของไวรัสมรณะในสหรัฐอย่างได้ผลเพราะใช้แค่โดสเดียวนั้น มีความปลอดภัยต่อการใช้งาน ที่สำคัญยังเพิ่มการป้องกันการติดเชื้อกลายพันธุ์ซึ่งก่อนหน้านี้เชื่อว่าสามารถยับยั้งโควิด-19 สายพันธุ์บราซิลได้สูงถึงร้อยละ 68 และโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริใต้ ที่ร้อยละ 64
โดยกระบวนการประเมินและตัดสินใจขั้นสุดท้ายของคณะที่ปรึกษาอิสระก่อนเอฟดีเอจะพิจารณาอนุมัติให้ใช้วัคซีนดังกล่าวเป็นการฉุกเฉินอาจเกิดขึ้นเร็วที่สุดในวันศุกร์ที่ 26 ก.พ.ตามเวลาท้องถิ่น
นายเจฟฟ์ ซีนต์ส ผู้ประสานงานหน่วยงานรับมือโควิด-19 ประจำทำเนียบขาว กล่าวระหว่างแถลงข่าวว่าหากวัคซีนของเจแอนด์เจผ่านการอนุมัติ ทางการจะสามารถจัดสรรวัคซีนราว 3-4 ล้านโดสภายในสัปดาห์หน้า โดยเจแอนด์เจทำสัญญากับรัฐบาลกลางว่าจะผลิตวัคซีนจำนวน 100 ล้านโดสภายในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้ และบริษัทกำลังดำเนินการเร่งการผลิต
ทั้งนี้ ความพยายามเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดในสหรัฐไม่เป็นไปตามกำหนดที่วางไว้ หลังเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศ และการขนส่งจนเป็นเหตุให้โครงการฉีดวัคซีนล่าช้าอย่างมาก จนถึงปัจจุบันมีประชาชนชาวอเมริกันราว 65 ล้านคนได้รับวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์-บิออนเทค หรือบริษัทโมเดอร์นา อย่างน้อย 1 โดส ซึ่งในกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับวัคซีนโดสที่สองเพื่อให้สามารถป้องกันไวรัสได้เต็มประสิทธิภาพ
สำหรับการทดลองทางคลินิกของเจแอนด์ในอาสาสมัคร 44,000 คน ทั้งในสหรัฐ ลาตินอเมริกา และแอฟริกาใต้ พบว่าวัคซีนมีการยับยั้งเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐสูงสุดที่ร้อยละ 72 เปรียบเทียบกับประสิทธิภาพการป้องกันในลาตินอเมริกาที่ร้อยละ 66 และแอฟริกาใต้ร้อยละ 57
แม้จะมีความแตกต่างซึ่งเป็นไปตามระดับความรุนแรงของสายพันธุ์ไวรัส แต่ผลลัพธ์ของวัคซีนโดสเดียวของเจแอนด์เจถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูง ทั้งยังเป็นการทดสอบในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง และจากการศึกษาก่อนหน้านี้ยังพบอีกว่าไม่มีรายงานการเข้ารับการรักษาหรือเสียชีวิตภายหลังรับวัคซีนไปแล้ว 28 วัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: