รีเซต

ไทยยูเนี่ยน รายได้พุ่งปี’63 ทะลุ 1.3 แสนล้าน โตเฉียด 5% - กำไรสุทธิ 6,246 ล้าน เพิ่มขึ้น 63.7%

ไทยยูเนี่ยน รายได้พุ่งปี’63 ทะลุ 1.3 แสนล้าน โตเฉียด 5% - กำไรสุทธิ 6,246 ล้าน เพิ่มขึ้น 63.7%
ข่าวสด
22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:02 )
37
ไทยยูเนี่ยน รายได้พุ่งปี’63 ทะลุ 1.3 แสนล้าน โตเฉียด 5% - กำไรสุทธิ 6,246 ล้าน เพิ่มขึ้น 63.7%

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ทียู เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 4 ปี 2563 มียอดขายอยู่ที่ 33,464 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนหน้า และกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,938 ล้านบาท สูงขึ้น 26.1% ในขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.9% มีผลกำไรจากการดำเนินงาน 1,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.1% และกำไรสุทธิ 1,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.9% จากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋อง ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า

 

สำหรับผลประกอบการประจำปี 2563 ไทยยูเนี่ยน มียอดขายอยู่ที่ระดับ 132,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9% มีกำไรสุทธิ 6,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.7% โดยบริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผล 40 สตางค์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 81.8% รวมทั้งปีปันผล 72 สตางค์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 53.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องมียอดขายอยู่ที่ 14,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8% ในขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 8% อยู่ที่ 5,287 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคเลือกซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารกระป๋องที่สามารถเก็บไว้ได้นานมากขึ้นในช่วงที่ใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น อย่างไรก็ดี ธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขาย 13,738 ล้านบาท ลดลง 6.5% ลดลงเล็กน้อยในไตรมาสสุดท้ายของปี

 

“ไทยยูเนี่ยนมีผลประกอบการที่เข้มแข็งในปีที่ผ่านมา แม้ว่าเราจะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ก็ตาม เราจะเห็นว่าความต้องการผู้บริโภคที่เลือกซื้อสินค้าของไทยยูเนี่ยนนั้นสูงขึ้นเนื่องจากคนหันมาทำอาหารรับประทานเองที่บ้านบวกกับผู้บริโภคหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพและอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นด้วย ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน คู่ค้าและระบบซัพพลายเชนทั้งหมด เพื่อที่เราจะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและผลิตสินค้าที่ปลอดภัยได้คุณภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลก”

 

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพไปพร้อมกัน โดยให้ความสำคัญกับงานด้านความยั่งยืนของบริษัท ด้วยกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของบริษัทหรือ SeaChange ในการทำหน้าที่สร้างมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมอาหารทะเลอย่างต่อเนื่อง ในปี 2563 บริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับเข้าเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ DJSI เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 2 ของโลกในดัชนีอุตสาหกรรมประเภทผลิตภัณฑ์อาหาร

 

ได้รับการจัดอันดับติด 1 ในบริษัทที่มีผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนสูงสุดในโลก ระดับโกลด์ คลาส (Gold Class) ในรายงาน The Sustainability Yearbook 2021 ของ S&P Global นับเป็น 1 ใน 5 บริษัทอาหารทะเลชั้นนำของโลกที่ได้ระดับโกลด์ คลาส ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร จากการประเมินด้านความยั่งยืนระดับโลกของ S&P Global ที่มีการประเมินบริษัทมากกว่า 7,000 บริษัท จาก 61 อุตสาหกรรมทั่วโลก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง