BGC ดีลซื้อกิจการจ่อ ผลงานพลิกเกินคาด
#BGC #ทันหุ้น – BGC คาดดีลซื้อธุรกิจบรรจุภัณฑ์ได้ข้อสรุปปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ใช้งบ 500-600 ล้านบาท ชูช่วยหนุนการเติบโต เดินหน้าหาโอกาสลงทุนเพิ่ม ส่วนธุรกิจปีหน้ายังท้าทายจากราคาวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่ทรงตัวสูง แต่มีแผนรองรับแล้ว ขณะที่ผลดำเนินงานปีนี้ยอดขายเติบโตสองหลักดีกว่าเป้า เล็งเสนอบอร์ดแจ้งงบไตรมาส 3 พร้อมปันผล
นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) หรือ BGC เปิดเผยว่า แผนการซื้อธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีความคืบหน้า โดยได้มีเข้าไปประเมินสินทรัพย์หรือ Due Diligence เสร็จเรียบ
ร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเพิ่มเติม ซึ่งจะพยายามให้ได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ซึ่งธุรกิจดังกล่าวนี้จะไม่ใช่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับขวดแก้ว แต่เป็นธุรกิจบรรจุภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทยังไม่มี จึงเชื่อว่าหากเข้าไปลงทุน ก็จะทำให้ขยายธุรกิจได้เพิ่มขึ้น และทำให้บริษัทมีบริการเกี่ยวกับด้านบรรจุภัณฑ์แก่ลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนดังกล่าว เป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดี ในเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าการเข้าไปลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 500-600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีเงินทุนที่จะรองรับอยู่แล้ว
นอกจากดีลดังกล่าวแล้ว BGC ก็มองหาโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทอื่นๆ เพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งจะมุ่งไปยังธุรกิจที่เกี่ยวกับด้านบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในอนาคตอย่างยั่งยืน
สำหรับผลดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ายอดขายจะเติบโตในระดับตัวเลขสองหลัก ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ แม้ว่าในปีนี้บริษัทจะประสบปัญหาเกี่ยวกับราคาพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงราคาวัตถุดิบที่ปรับขึ้น แต่บริษัทก็ได้มีการเจรจากับลูกค้า เพื่อขอปรับราคาขายสินค้าเพิ่มขึ้น รวมถึงได้มีการปรับสูตรในการผลิตขวดแก้วให้เหมาะสม
รวมถึงยังได้รับผลดีจากการที่ภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการ หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ยอดขายมีการเติบโตต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ก็ยังมีทิศทางที่ดี
ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทจะประชุมเพื่อให้ความเห็นชอบในงบการเงินไตรมาส 3/2565 กลางเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอีกด้วย
**มองปีหน้ายังท้าทาย
นายศิลปรัตน์ มองการดำเนินธุรกิจในปีหน้า ยังเป็นปีที่ท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากราคาพลังงานที่ยังอยู่ระดับสูง รวมถึงราคาวัตถุดิบ ขณะที่บริษัทเองก็มีการขอปรับขึ้นราคาสินค้ากับลูกค้าไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นจึงต้องหาแนวทางในการดำเนินการ ได้แก่การเน้นขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นที่ดี รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น ขณะที่ในปีหน้าบริษัทจะมีการปิดเตาซ่อมแซมที่พระนครศรีอยุธยาและขอนแก่น ในช่วงไตรมาส 1 และ 3ซึ่งอาจจะกระทบต่อกำลังการผลิตที่หายไป แต่ก็จะมีกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาเพิ่ม เมื่อรวมกันแล้วก็จะมีกำลังการผลิตลดลงเล็กน้อย ซึ่งบริษัทได้มีการเตรียมการรองรับไว้แล้ว โดยได้มีการสต๊อกสินค้าแล้วไว้
ส่วนการที่ไทยมีการเปิดประเทศ และทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไทยมากขึ้น นับเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ยังไม่เหมือนในอดีตก่อนโควิด เพราะนักท่องเที่ยวจากจีนยังไม่ได้เข้ามา ซึ่งจะต้องรอดูสถานการณ์ต่อไป
**รับผลดีขยายเวลาเปิดบริการสถานบันเทิง
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) แนะนำซื้อหุ้น BGC โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2566 อยู่ที่ 12.30 บาทต่อหุ้น มองว่าเป็นอีกหุ้นใน Theme Anti-Commodity ที่น่าสนใจ คาดว่าในไตรมาส 4/2565 จะได้ประโยชน์จาก
ยอดขายเครื่องดื่มรวมถึงแอลกอฮอล์ที่กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และยังเป็นช่วงไฮซีซันอีกทั้งระยะสั้นคาดจะได้ประโยชน์จากมาตรการขยายเวลาเปิดให้บริการสถานบันเทิง
ส่วนผลดำเนินงานไตรมาส 3/2565 คาดว่าจะมีกำไรที่ 100ล้านบาท ลดลง 21% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 8% จากไตรมาสก่อน กำไรที่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากฐานที่ต่ำลงหลังปรับโครงสร้างและขายธุรกิจโรงไฟฟ้าไปในไตรมาส 1/2565 และที่ต่ำกว่าไตรมาสก่อน เป็นไปตามปัจจัยฤดูกาล และกำไรพิเศษที่ลดลง โดยในไตรมาสนี้มีอานิสงส์เชิงบวกจากการปรับราคาสินค้าขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/2565
ซึ่งฝ่ายวิจัยโนมูระ พัฒนสิน มองว่าปีนี้ยังคงเป็นปีที่ท้าทายของบริษัท จากปัญหาต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่บริษัทมีการทยอยปรับขึ้นราคาสินค้ากับลูกค้าไปเกือบทั้งหมดแล้ว และมีการปรับสูตรราคาขายให้อิงกับต้นทุนมากขึ้น