"นิสสัน" ไปต่ออย่างไร? เลิกจ้าง - ขาดทุนยับ

นิสสัน มอเตอร์ ค่ายรถของญี่ปุ่น กำลังเจอกับวิกฤตขั้นรุนแรง
ล่าสุดมีรายงานว่าขาดทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ กว่า 7 แสนล้านเยน
ถึงขั้นต้องเอาคนออก ต้องเลิกจ้างพนักงานเพิ่มอีกกว่าหมื่นคน ทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ
เป็นสัญญาณอันตรายของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ก่อนหน้านี้ต้องเจอกับสงครามอีวีจีน
แต่ตอนนี้กำลังเผชิญกับภาษีทรัมป์ซ้ำเติมเข้ามาอีกด้วย
สำนักข่าว NHK รายงาน เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด
ซึ่งผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ได้ตัดสินใจจะเลิกจ้างพนักงานเพิ่มเติมอีก 11,000 คน
ทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ นับว่าเป็นข่าวการเลิกจ้างครั้งใหญ่เพิ่มเติมอีกครั้ง
หลังจากที่เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว นิสสันได้ออกมาประกาศแผนลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 20%
และเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน
ดังนั้นเมื่อรวมกันทั้งสองครั้งเท่ากับว่านิสสันจะต้องมีการเลิกจ้างพนักงานถึง 20,000 คนทั่วโลก
หรือประมาณ 15% ของพนักงานทั้งหมด จากพนักงานมากกว่า 133,000 คน ณ เดือนมีนาคมของปีที่แล้ว
โดยให้เหตุผลในการเอาคนออกในครั้งนี้ว่า ต้องการปรับโครงสร้างองค์กร
หลังจากที่งบประมาณปีล่าสุดขาดทุนสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 7.5 แสนล้านเยน
หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 1.7 แสนล้านบาท สำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2025
เป็นวิกฤตทางการเงินที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี
แม้ว่ารายได้รวมจะอยู่ที่ประมาณ 12.6 ล้านล้านเยน
แต่กำไรจากการดำเนินงานลดลงอย่างมากเหลือเพียง 85,000 ล้านเยน
ทั้งนี้ที่ผ่านมานิสสันทำยอดขายได้ไม่ดีนักในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐ
ผลประกอบการของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนัก
จากการขาดแคลนรถยนต์ไฮบริดและจากผลิตภัณฑ์ที่เสื่อมลง
รวมถึงคู่แข่งอย่างอีวีแบรนด์จีนที่มาแรงก็มาแย่งส่วนแบ่งตลาดไปด้วย
นอกจากรายได้ที่ไม่สดใส นิสสัยยังมีหนี้สินรุงรัง
โดยเฉพาะพันธบัตรมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเยนที่จะครบกำหนดในอีกสองปีข้างหน้า
คิดแล้วเป็น 43% ของพันธบัตรทั้งหมด
ส่วนความน่าเชื่อถือที่มีอยู่ก็อยู่ในระดับที่ติดลบ
บริษัทอันดับเครดิตขนาดใหญ่ของโลก ตั้งแต่
Fitch Ratings Moody’s Ratings และ S&P Global Ratings
ได้พากันลดอันดับความน่าเชื่อถือของนิสสันไปอยู่ในกลุ่มชั้นขยะ (Junk)
โดยอ้างถึงความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มการฟื้นตัวที่ล่าช้า
ดีลครั้งประวัติศาสตร์ที่ "ล่มสลาย" ไปพร้อมความหวัง
ประเด็นร้อนเรื่องดีลยักษ์ที่ล่มไป
หลังจากเมื่อช่วงปลายปีแล้ว นิสสันได้สร้างความฮือฮาและคาดหวัง
ด้วยการออกมาประกาศข่าวใหญ่ ว่ากำลังจับมือกับฮอนด้า
ระบุแผนการควบรวมกิจการมูลค่ากว่า 60 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่สุดท้ายก็กลายเป็นดีลล่ม โดยเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ได้มีการออกมาประกาศว่าการเจรจาดังกล่าวที่ว่าล้มเหลวลงไปแล้ว
เนื่องจากความขัดแย้งเกี่ยวกับโครงสร้างองค์กร โดยฮอนด้าต้องการให้นิสสันเป็นบริษัทลูก
แต่นิสสันไม่ยอมรับ
ขณะเดียวกันการล้มเหลวของการควบรวมกิจการนี้ส่งผลให้ CEO ของนิสสัน
มะโกโตะ อุจิดะ ลาออกจากตำแหน่งในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
และถูกแทนที่โดยอีวาน เอสปิโนซา ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินแผนฟื้นฟูกิจการ
ที่ผ่านมายอดขายไม่ดี แต่หลังจากนี้อาจจะยิ่งแย่กว่า
เพราะตลาดหลักลูกค้าหลักของนิสสันก็คือสหรัฐอเมริกา
แต่ล่าสุดผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องการให้คนอเมริกันอุดหนุนสินค้าในประเทศ
จึงได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์สูงถึง 25 %
ดังนั้นค่ายรถญี่ปุ่นจึงช้ำหนัก
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการรีดภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์สูงถึง 25%
ทำให้บรรดาค่ายรถต่างชาติได้รับผลกระทบกันถ้วนทั่ว
โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่พึ่งพาการอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นหลัก ไม่สามารถจะหนีแรงกระแทกได้
นิสสัน เป็นหนึ่งในเหยื่อของภาษีครั้งนี้ที่ทรัมป์ตั้งใจปิดประตูใส่หน้า
และเป็นมาตรการกีดกันทางการค้า ที่อาจเป็นการขุดหลุมฝังนิสสันไปเลยก็เป็นได้
เพราะปัจจุบัน สหรัฐฯ คือตลาดหลักของนิสสัน
เช่น เมื่อปีที่แล้ว นิสสันทำยอดขายในสหรัฐฯ ได้ คิดเป็น 1 ใน 4 ของยอดขายทั้งหมด
แต่ประเด็น คือ ส่วนใหญ่รถยนต์ของนิสสันเหล่านี้ผลิตในญี่ปุ่นหรือเม็กซิโก
ซึ่งหมายความว่าต้องถูกบวกภาษีอย่างหนักไม่รอดพ้นจากกำแพงภาษี
นิสสันกล่าวในแถลงการณ์ว่า กำลังตรวจสอบเรื่องการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน
เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด โดยทางบริษัทจะมุ่งมั่นปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
โดยให้ความสำคัญกับกำลังคนและความสามารถในการผลิตเป็นหลัก
นิสสัน ระบุด้วยว่า แนวทางของเราจะรอบคอบ
ในขณะที่เรารับมือกับผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของมาตรการภาษี
โดยก่อนหน้านี้เมื่อกลางเมษายน สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า
นิสสันได้มีการประกาศแผนลดการผลิตรถยนต์บนเกาะญี่ปุ่นจากผลของภาษีทรัมป์
โดยเฉพาะรุ่นขายดีในอเมริกา อย่าง เช่น รุ่น Rogue SUV
ที่สั่งให้ผลิตลดลงถึง 13,000 คัน จากการผลิตที่โรงงานผลิตบนเกาะคิวชู
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดของนิสสัน
โดยจะลดการผลิตในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ คือ พฤษภาคม มิถุนายน ถึง กรกฎาคม
นั่นหมายความว่า คนงานที่โรงงานผลิตในคิวชูจะทำงานน้อยลงในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
และอาจมีการหยุดสายพานการผลิตในบางวัน และแบ่งการผลิตเป็น 2 กะต่อวัน
ซึ่งจำนวนรถยนต์ที่ลดลงที่ว่านี้ คิดแล้วเป็น 1 ใน 5 ของรถยนต์ Rogue
จากทั้งหมด 62,000 คัน ที่ขายในสหรัฐฯ ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้
ตลาดสหรัฐถูกปิด “นิสสัน” จึงต้องหันไปพึ่งจีน
ล่าสุดกับการลงทุนในจีนเพิ่มถึง 1.4 พันล้านดอลล์
เน้นการลุยพัฒนา EV เป็นหลัก
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (Nissan Motor)
มุ่งมั่นที่จะลงทุนเพิ่มเติมอีก 10,000 ล้านหยวน หรือราว 1,400 ล้านดอลลาร์ ในจีน
และมองว่าตลาดรถยนต์ที่มีการแข่งขันรุนแรงในประเทศจีน
เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (EV)
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่บริษัทจำเป็นต้องปรับปรุงเพื่อให้ฟื้นตัวได้อีกครั้ง
Stephen Ma หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของ Nissan ในจีน กล่าวในงานแถลงข่าว
ที่งานแสดงรถยนต์เซี่ยงไฮ้ เมื่อวันที่ 23 เม.ย.68 ว่า
จีนกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เราจึงต้องการที่จะอยู่ต่อและแข่งขัน
โดยการลงทุนดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปี 2569
ทั้งนี้นิสสัน เปิดตัวรถรุ่นใหม่ 2 รุ่นในงานแสดงรถยนต์ ซึ่งรวมถึงรถบรรทุกปลั๊กอินไฮบริดที่มีชื่อว่า Frontier Pro
นอกจากนี้ยังประกาศด้วยว่าจะพัฒนารถรุ่นใหม่ 10 รุ่นในประเทศจีน
เพิ่มขึ้นจากเดิม 8 รุ่นภายในกลางปี 2570 และระบุว่ารถทุกรุ่นจะส่งออกไปยังต่างประเทศ