บล.ทรีนีตี้ มองหาก พท.ได้นายกฯ หนุนตลาดหุ้นพลิก Rebound

บล.ทรีนีตี้ มองตลาดหุ้นสะท้อนราคาไปแล้ว ในกรณีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และเสนอแคนดิเดทนายกฯจากก้าวไกล หุ้นที่จะได้รับผลกระทบเชิงนโยบายราคาลงไปแล้ว หากสถานการณ์เปลี่ยนเป็นนายกฯมาจากแคนดิเดทพรรคเพื่อไทย หรือเพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล หุ้นจะพลิกกลับตัวขึ้นได้ แต่หากการตั้งรัฐบาลยืดเยื้อไปถึงส.ค.-ก.ย. จะเป็นปัจจัยลบ เงินทุนจะไหลออกอีก
บล.ทรีนีตี้ วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นปัจจุบัน โดยระบุว่า ในประเด็นมุมมองด้านการเมืองกับตลาดหุ้นไทย ประเมินว่าการปรับตัวลงของดัชนี SET กว่า 6% และการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยกว่า 4 หมื่นล้านบาท นับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเป็นต้นมา ได้สะท้อนถึงกรณีฐานทางด้านการเมืองของไทยแล้ว
นั่นคือ กรณีที่พรรคก้าวไกลขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลโดยมี Candidate จากพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแนวนโยบายในการที่จะทลายทุนผูกขาด/กลุ่มทุนใหญ่ การลดราคาพลังงาน รวมถึงการทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี มองกรณีที่ตลาดอาจยังไม่ได้ Price in และอาจเป็นปัจจัยที่สร้าง Positive surprise ให้กับตลาดหุ้นในช่วงถัดไปได้ จะได้แก่กรณีดังต่อไปนี้ (แต่ย้ำว่ากรณีเหล่านี้จะต้องเป็นเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่เขียนไว้ไม่ได้เป็นการเล่นเกมส์นอกสภาฯแต่อย่างใด)
กรณีที่ 1 พรรคก้าวไกลยังคงรวมกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งเป็นรัฐบาล แต่ว่าชื่อของนายกรัฐมนตรีเป็นทางฝั่ง Candidate ของพรรคเพื่อไทยแทน ในกรณีนี้ประเมิน จะเป็นปัจจัยบวกเล็กน้อยต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากอำนาจในการต่อรองของพรรคก้าวไกลที่น่าจะลดลงจนทำให้โอกาสที่จะเห็นการผลักดันนโยบายที่เป็นลบต่อตลาดหุ้นอย่างสำคัญ เช่น การทลายกลุ่มทุนผูกขาดการลดราคาพลังงาน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแบบก้าวกระโดด มีโอกาสน้อยลงไปด้วยเช่นกัน
กรณีที่ 2 กรณีที่พรรคก้าวไกลไม่สามารถขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ จนทำให้โอกาสของการจัดตั้งรัฐบาลไปตกอยู่กับพรรคลำดับถัดไปอย่างเช่นพรรคเพื่อไทย ซึ่งถ้าหากพรรคเพื่อไทยตัดสินใจหันไปจับมือกับพรรคอื่นซึ่งเป็นแกนนำในขั้วอนุรักษ์นิยมจนมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาล่าง มองว่าก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นคล้ายกับกรณีแรกเช่นกัน เพียงแต่ว่าจะมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมในกรณีนี้ ก็คือเสถียรภาพทางการเมืองในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า ที่น่าจะแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก ประเมินกรณีนี้ SET Index มีโอกาสปรับตัว เป็นบวกอย่างมีนัยสำคัญได้
Reversal : มองทั้ง 2 กรณีนี้ หากเกิดขึ้นจริง จะเห็นการรีบาวด์กลับของดัชนี SET ได้ นำโดยกลุ่มหุ้นที่เคยถูกลงโทษรุนแรงจากความกังวลด้าน Policy risk ภายหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
1) กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า เช่น GULF, BGRIM, GPSC
2) กลุ่มทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมน้อยราย เช่น AOT, ADVANC, TRUE
3) กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวโยงกับพรรคการเมือง เช่น SC, SIRI, PR9, PTG, STEC
4) กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการประมูลโครงการภาครัฐ เช่น BEM, BTS, CK, ITD
5) กลุ่มหุ้นที่มีสัดส่วนต้นทุนแรงงานในระดับสูง เช่น CPALL, CRC, ERW
Risk : อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องเผื่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ กรณีที่การจัดตั้งรัฐบาลและการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีมีความยืดเยื้อเกิดขึ้น จนลากยาวเลยไปถึงเดือนสิงหาคม-กันยายน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น จะยิ่งทำให้ประชาชนและธุรกิจเอกชนขาดความเชื่อมั่นจนลดระดับหรือเลื่อนการบริโภคและการลงทุนออกไป ส่งผลให้เศรษฐกิจเผชิญกับภาวะสูญญากาศได้ ประเมินในกรณีนี้ SET Index จะถูกกดันจาก Risk premium ของประเทศที่สูงขึ้น และแนวโน้ม Fund flow ที่อาจกลับมาไหลออกสุทธิอีกครั้ง
ประเด็นเศรษฐกิจสำคัญวันนี้
Factors : สำหรับประเด็นเศรษฐกิจสำคัญวันนี้ ได้แก่ การปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของ Bond yield สหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการ Price in การขึ้นดอกเบี้ย Fed ครั้งถัดไปที่สูงขึ้น (ความเป็นไปได้ = 87%) มองเป็นปัจจัยกดดันเล็กน้อยต่อตลาดหุ้น
PMI ภาคการผลิตของจีนประจำเดือน มิ.ย. ซึ่งล่าสุดออกมาแล้วที่ระดับ 49.0 เท่ากับที่ตลาดคาดการณ์ไว้รายงานดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยประจำเดือน พ.ค. ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อไปยังการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท
รายงานตัวเลข M2 ของไทยประจำเดือน พ.ค. ซึ่งจะเป็นตัวสะท้อนสภาพคล่องภายในประเทศ