ECB ลดดอกเบี้ยสู่ 2.25% ตามคาด หุ้นสหรัฐฯปิดผสมผสาน UNH -22.4% LLY +14.3%

#หุ้นสหรัฐ #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์ โดย บล.เอเซียพลัส
.
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงตามที่ตลาดคาดการณ์ (-25bps สู่ระดับ 2.25% สำหรับ Deposit Facility Rate) ซึ่งเป็นการปรับรวมลดลง 175bps ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2024 ขณะที่ Christine Lagarde ซึ่งเป็นประธาน ECB ได้เตือนว่า “ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก และความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องจะมีแนวโน้มลดการเติบโตของยูโรโซนลง โดยการฉุดการส่งออกให้ชะลอตัว อีกทั้งผู้บริโภคอาจระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นเช่นกัน” อย่างไรก็ตาม Lagarde ได้ระบุว่า “เศรษฐกิจยูโรโซนน่าจะขยายตัวในไตรมาสแรกของปี 2025”
.
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ระบุว่า สหรัฐฯ และจีนกำลังเจรจากันอยู่ และแสดงความมั่นใจว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับภาษีศุลกากรได้ในเร็วๆ นี้ โดย Trump ได้กล่าวว่า “เรามั่นใจว่าเราจะสามารถหาทางตกลงบางอย่างกับจีนได้” นอกจากนี้ เมื่อนักข่าวได้ถามถึงระยะเวลาที่คาดว่าจะได้ข้อสรุป Trump กล่าวว่า "ผมคิดว่าภายในช่วงสามถึงสี่สัปดาห์ข้างหน้า"
.
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวผสมผสาน (DJIA -1.33%, S&P500 +0.13%, Nasdaq -0.13%) โดยดัชนี Dow Jones ปรับตัวลงแรงหลังได้รับแรงกดดันจากราคาหุ้น UnitedHealth -22.4% หลังบริษัทเผยผลประกอบการไตรมาส 1/25 ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้งยังได้มีการปรับมุมมองปี 2025 ลง ขณะที่ดัชนี S&P500ได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของ EliLilly +14.3%หลังบริษัทรายงานผลการทดลองระยะที่สามของยาเม็ดลดน้ำหนักตัวใหม่ ออร์ฟอร์กลิพรอน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่น่าพอใจในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยสามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ยเกือบ 8%และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ
.
UnitedHealth Group (UNH US) -22.4%หลังบริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/25ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้งได้ปรับลดคาดการณ์สำหรับปี 2025 โดยรายได้รวม อยู่ที่$1.09 แสนล้าน +9.8% YoY (ต่ำกว่าคาด 1.8%) และ EPS อยู่ที่ $7.2 +4.2% YoY (ต่ำกว่าคาด 1.0%) บริษัทได้ปรับลดประมาณการ EPS สำหรับปี 2025 ลงมาอยู่ที่ $26.0 ถึง $26.5 (จากเดิมที่ $29.5 ถึง $30.0)
.
โดยบริษัทระบุว่าการปรับลดประมาณการครั้งนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดของสมาชิก Optum Health ซึ่งส่งผลกระทบต่อแผนการชำระเงินคืนในปี 2025 รวมถึงความต้องการบริการผู้ป่วยนอกและบริการจากแพทย์ในแผน Medicare Advantage ที่ให้บริการแก่ผู้สูงอายุและผู้พิการ มีปริมาณสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2025 อย่างมาก นอกจากนี้ CEO ของบริษัทกล่าวว่า “ได้ขยายการให้บริการอย่างครอบคลุมแก่ผู้คนมากขึ้น แต่ผลการดำเนินงานยังไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเรา และเรากำลังเร่งแก้ไขความท้าทายเหล่านี้อย่างจริงจังเพื่อวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับอนาคตข้างหน้า"
.
Eli Lilly (LLY US, LLY80X TB) เผยผลทดลองยาเม็ดลดน้ำหนัก ออร์ฟอร์กลิพรอน ได้ผลดีน้ำหนักลดเกือบ 8% หุ้นพุ่งแรง ตั้งเป้ายื่นขออนุมัติปลายปีนี้ โดยบริษัทรายงานผลการทดลองระยะที่สามของยาเม็ดลดน้ำหนักตัวใหม่ ออร์ฟอร์กลิพรอน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่น่าพอใจในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โดยสามารถลดน้ำหนักได้เฉลี่ยเกือบ 8% และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ
.
- ฝ่ายกลยุทธ์ฯ ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ Eli Lilly ในฐานะผู้นำตลาดยารักษาโรคในกลุ่มเมตาบอลิซึม โดยเฉพาะกลุ่มยากระตุ้นฮอร์โมน GLP-1ซึ่งครอบคลุมทั้งการรักษาโรคเบาหวานและภาวะอ้วน ซึ่งยังเป็นกลุ่มยาที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาวอย่างชัดเจน ทั้งจากแนวโน้มเชิงประชากรและพฤติกรรมผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นยังต้องระวังแรงกดดันต่อภาพรวมตลาดจากประเด็นภาษีการค้าของสหรัฐฯ ที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมไปถึงกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม ซึ่งรวมไปถึงกลุ่ม Pharmaceutical ด้วย
.
- Netflix (NFLX US, NFLX80X TB) รายงานกำไร Q1/25 แกร่งเกินคาด โดยรายได้ Q1/25: $1.054 หมื่นล้าน (+13% YoY) สูงกว่าคาดที่ $1.050 หมื่นล้าน ขณะที่ EPS: $6.61 (+25% YoY) สูงกว่าคาดที่ $5.68 ในส่วนของ Outlook Q2/25: บริษัทมองรายได้ $1.104 หมื่นล้าน สูงกว่าคาดที่ $1.088หมื่นล้าน นอกจากนี้ บริษัทยืนยันเป้าทั้งปีรายได้อยู่ที่ $4.35–$4.45หมื่นล้าน และ Operating Margin 29%
.
- TSMC (TSM US, 2330 TT) มั่นใจฝ่าวิกฤตสงครามการค้า คงเป้าการเติบโตปี 2025 แม้เผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษี ด้านผลประกอบการล่าสุด TSMC รายงานรายได้ NT$8.39 แสนล้าน +42% YoY มากกว่านักวิเคราะห์คาดที่ NT$8.34 แสนล้าน และกำไรสุทธิที่ NT$3.62 แสนล้าน +60% YoY มากกว่านักวิเคราะห์คาดที่ NT$3.47แสนล้าน โดยได้แรงหนุนจากการเร่งส่งสินค้าล่วงหน้าไปยังสหรัฐฯ ก่อนมาตรการภาษีใหม่มีผลบังคับใช้ บริษัทประเมินว่าในไตรมาส 2 รายได้จะอยู่ระหว่าง $2.84-$2.92 หมื่นล้าน ค่ากลางสะท้อนการเติบโต 38% YoY มากกว่านักวิเคราะห์คาดที่ $2.72 หมื่นล้าน
.
- ฝ่ายกลยุทธ์ฯ ยังคงแนะนำเก็งกำไรตามแนวรับด้วยความระมัดระวัง หลัง TSMC รายงานผลประกอบการและให้คาดการณ์รายได้ในอนาคตออกมาอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรเฝ้าระวังความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นจากความเสี่ยงเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการเร่งสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้รายได้ที่โดดเด่นในไตรมาสนี้เป็นเพียงการดึงรายได้ในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า ขณะเดียวกันควรจับตาสัญญาณการชะลอตัวของดีมานด์ในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ หลังผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง Microsoft เริ่มแสดงท่าทีระมัดระวังต่อการลงทุนในครึ่งปีหลัง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจกดดันภาพรวมของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ในระยะสั้น
.
- Hermes (RMS FP, HERMES80 TB) เผยยอดขายไตรมาสแรกพลาดเป้า เหตุดีมานด์จากจีนอ่อนตัว แม้ยอดขายทั่วโลกยังเติบโต เตรียมขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ รับมือภาษีทรัมป์ บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 ที่รายได้รวม (อัตราแลกเปลี่ยนคงที่) เติบโต 7.2% YoY อยู่ที่ €4.13 พันล้าน โดยแม้รายได้รวมยังขยายตัวได้ในทุกภูมิภาค แต่ยอดขายในเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) กลับเพิ่มขึ้นเพียง 1.2% YoY ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 4% สะท้อนถึงแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่เริ่มส่งผลกระทบต่อแบรนด์หรูโดยตรง
.
- ฝ่ายกลยุทธ์ฯ มองแม้ว่าอุตสาหกรรมสินค้าหรูโดยรวมจะเผชิญกับความท้าทาย แต่ Hermes ยังคงเป็นผู้นำในตลาดด้วยกลยุทธ์การบริหารซัพพลายที่แข็งแกร่ง และการรักษาความต้องการของสินค้าซึ่งสามารถสนับสนุนแนวโน้มในอนาคตได้จากปัจจัยดังนี้ 1) ฐานลูกค้าที่ภักดีและกำลังซื้อของ Ultra-High Net Worth ที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจที่น้อยกว่า
2) Scarcity Strategy & Pricing Power ที่เหนือกว่าคู่แข่ง โดย Hermes ใช้กลยุทธ์ควบคุมซัพพลายอย่างเข้มงวด ทำให้สินค้าบางรุ่นหายาก ซึ่งช่วยรักษาอำนาจในการตั้งราคา 3) ตลาดอเมริกา ยุโรปและญี่ปุ่นยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ในขณะที่ตลาดจีนแม้มีความไม่แน่นอนสูงแต่ยังทำได้ดีเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน 4) การขยายไลน์ผลิตภัณฑ์และหมวดธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเพิ่มการเติบโต ดังนั้น แนะนำถือลงทุนต่อ จากแนวโน้มการเติบโตที่โดดเด่น
.
- รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด โดยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) สิ้นสุดสัปดาห์ที่ 12 เม.ย. อยู่ที่ 2.15แสนราย (ตลาดคาดที่ 2.25 แสนราย vs. สัปดาห์ก่อนที่ 2.24 แสนราย) และ Housing Starts เดือน มี.ค. -11.4% MoM (ตลาดคาดที่ -5.4% MoM vs. เดือนก่อนที่ +9.8%) นอกจากนี้ Philadelphia Fed Business Outlook เดือน เม.ย. อยู่ที่ระดับ -26.4 จุด (ตลาดคาดที่ +2.2 จุด vs. เดือนก่อนที่ +12.5จุด)
- วันนี้ตลาดหุ้นหลายแห่งหยุดทำการ อาทิ สหรัฐฯ ฮ่องกง เยอรมนีเนื่องในวัน Good Friday