รีเซต

ชง พรก.ประชามติ ห้ามชุมนุม 2 ปี เด็ดขาด ไพบูลย์ลั่น นี่คือทางออก!

ชง พรก.ประชามติ ห้ามชุมนุม 2 ปี เด็ดขาด ไพบูลย์ลั่น นี่คือทางออก!
ข่าวสด
2 พฤศจิกายน 2563 ( 10:18 )
91

“ไพบูลย์” โยนคำถาม 52 ล้านคน ห้ามชุมนุม การเมือง 2 ปี เอื้อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ชงออก 'พ.ร.ก.ประชามติ' ออกเสียงวันที่ 20 ธ.ค.นี้ พร้อมเลือกนายก อบจ.

 

เมื่อวันที่ 2 พ.ย.นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ในฐานะสมาชิกรัฐสภา กล่าวว่า ตนได้อภิปรายในที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้เสนอทางออกของประเทศในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองขั้นรุนแรงของไทย

 

เสนอให้ใช้การออกเสียงประชามติถามประชาชนทั้งประเทศแทนการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ เพราะเห็นว่าการยุบสภาจะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจให้มีปัญหามากขึ้น และการยุบสภาไม่สามารถยุติความขัดแย้งจากการชุมนุมทางการเมืองได้

 

จึงขอเสนอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม หากจะหาทางออกของประเทศให้ได้ผล ต้องให้ประชาชนทั้งประเทศมีส่วนร่วมใช้อำนาจอธิปไตยตัดสินปัญหาสำคัญนี้ โดยหากเป็นไปได้ ตนขอเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติจัดให้มีการออกเสียงประชามติ

 

โดยประชาชนทุกคนทั้งประเทศ ซึ่งมีสิทธิ์ออกเสียงประชามติ 52 ล้านคนให้มีส่วนร่วมโดยตรงตัดสินปัญหาสำคัญของชาติในครั้งนี้ เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยทางตรงให้ได้ข้อยุติว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการจัดชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในสถานการณ์ปัจจุบัน

 

ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความสงบเรียบร้อยของสังคมไทย แต่ยังมีปัญหาข้อกฎหมายว่าจะตั้งคำถามอย่างไรจึงจะไม่ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 166 ซึ่งบัญญัติว่าในกรณีที่มีเหตุอันสมควรครม.จะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดอันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

 

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ขอเสนอให้ตั้งคำถามประชามติที่เป็นไปรัฐธรรมนูญมาตรา 166 ดังนี้ “ท่านเห็นอย่างไร หากรัฐบาลใช้มาตรการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาด ห้ามไม่ให้มีการจัดชุมนุมทางการเมืองที่ฝ่าฝืนกฎหมายชุมนุมสาธารณะ มีการกระทำก้าวล่วงรัฐธรรมนูญมาตรา 6 อันเป็นเหตุให้กระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

 

และมีผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่มีผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ

 

หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะจากความขัดแย้งของคนในชาติ และให้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนสามารถดำเนินการได้ลุล่วง รัฐบาลจึงจะใช้มาตรการทางกฏหมายขั้นเด็ดขาดห้ามชุมนุมการเมืองดังกล่าวเป็นระยะเวลา 2 ปีนับจากวันออกเสียงประชามติ”

 

นายไพบูลย์ กล่าวว่า ทางออกของประเทศโดยการให้ประชาชนที่มีสิทธิ์ออกเสียงทั้งประเทศ 52 ล้านคน ออกเสียงประชามติ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำถามประชามตินั้นให้มีผลเป็นข้อยุติ หากผลการออกเสียงประชามติเสียงข้างมากเห็นด้วยกับรัฐบาล

 

เมื่อเป็นมติของประชาชนเสียงข้างมากทั้งประเทศ ให้รัฐบาลสามารถใช้มาตราการทางกฎหมายขั้นเด็ดขาด ห้ามชุมนุมการเมืองดังกล่าวเป็นระยะเวลา 2 ปีนับจากวันออกเสียงประชามติ จะทำให้ยุติปัญหาที่เกิดจากการชุมนุมการเมืองไประยะเวลาหนึ่ง

 

เพียงพอที่รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจช่วยเหลือเยียวยาประชาชนพ้นวิกฤติผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 แต่หากประชาชนเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยกับมาตราการของรัฐบาลตามคำถามประชามติ รัฐบาลก็ไม่ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายใดๆขัดแย้งกับมติเสียงข้างมากของประชาชน

 

นายไพบูลย์ กล่าวว่า เพื่อให้การออกเสียงประชามติซึ่งเป็นทางออกของประเทศ ทำได้รวดเร็วและประหยัดงบประมาณแผ่นดิน จึงเสนอให้การออกเสียงประชามติทำพ่วงไปพร้อมกับการเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบจ. และนายก อบจ. ทั้ง 76 จังหวัดในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ กำหนดเพิ่มเขตกรุงเทพมหานครให้ กกต.จัดออกเสียงประชามติเพียงอย่างเดียว

 

ซึ่งจะทำให้ใช้งบประมาณทำประชามติจำนวนไม่มากและการหาทางออกของประเทศด้วยการจัดให้ออกเสียงประชามติ เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนจึงเสนอให้ คณะรัฐมนตรีอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 173 ตราเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติขึ้นใช้เฉพาะครั้งนี้

 

เนื่องจากเป็นกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ และครม. เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉิน ที่มีความจําเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้

 

“ผมเชื่อว่าหลังจากมีออกเสียงประชามติแล้ว จะทำให้ประชาชนทุกคนทั้งประเทศมีส่วนร่วมใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรง แก้ไขสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งกำลังเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฏร์ 63 มีปัญหากับกลุ่มประชาชนจำนวนมาก ที่ไม่เห็นด้วยกับ กลุ่มคณะราษฏร์ 63 กำลังทวีความขัดแย้งขยายวงกว้างขึ้น

 

อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงขึ้นมาในอีกไม่นาน ซึ่งไม่มีผู้ใดอยากให้เกิดขึ้น จึงควรหาทางออกของประเทศโดยสันติวิธี ด้วยการขออำนาจอธิปไตยของประชาชนทุกคนทั้งประเทศผ่านการออกเสียงประชามติตัดสินปัญหาสำคัญให้ได้ข้อยุติ จึงจะสามารถหยุดยั้งปัญหาความขัดแย้งครั้งใหญ่ของไทยได้” นายไพบูลย์ กล่าว

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง