รีเซต

สัญญาณเตือน 5 ชาติ G7 หนี้สาธารณะพุ่ง

สัญญาณเตือน 5 ชาติ G7 หนี้สาธารณะพุ่ง
TNN ช่อง16
10 มิถุนายน 2568 ( 09:53 )
18

ระดับหนี้สาธารณะที่พุ่งขึ้นรวดเร็วกำลังกลายเป็นแรงกดดันสำหรับเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 5 แห่งในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ 7 แห่ง หรือ G7 สะท้อนถึงสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางที่แฝงอยู่ในเขตเศรษฐกิจหลักของโลก โดยเฉพาะสหรัฐ และญี่ปุ่น ที่กำลังเป็นจุดสนใจ ส่วนอีก 3 ประเทศ คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี มีแนวโน้มที่ทั้งแย่ลงและดีขึ้น แต่ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ


กรณีของสหรัฐฯ เพิ่งถูก “มูดี้ส์” สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ปรับลดเครดิตลงจากระดับสูงสุด AAA ลงมาอยู่ที่ Aa1 เป็นครั้งแรกในรอบ 106 ปี หลัก ๆ มาจากปัญหาหนี้ของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นมาก และสัดส่วนการชำระดอกเบี้ยของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าประเทศที่ได้รับการจัดอันดับในระดับเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่กรณีของญี่ปุ่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (bond yield) ระยะยาวของญี่ปุ่นพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือนพฤษภาคม ประกอบกับความต้องการประมูลพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นลดลง 


ความกังวลที่มีต่อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากนักลงทุนแห่ขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนเมษายน เนื่องความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่มีผลกับ 185 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก นักลงทุนไม่ได้มองว่าพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐฯ มีความปลอดภัยอีกต่อไป โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่สะท้อนต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทและผู้บริโภค พุ่งสูงเกินร้อยละ 4.5 ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้สหรัฐฯ มีต้นทุนกู้ยืมที่สูงขึ้น ตอกย้ำภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางหนี้มหาศาล


นอกจากนี้ หลายฝ่ายยังมีความกังวลเกี่ยวกับร่างกฎหมายงบประมาณและลดหย่อนภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้สหรัฐฯ มีหนี้เพิ่มขึ้นอีกราว 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2577 ตามการประเมินของคณะกรรมการนโยบายงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Committee for a Responsible Federal Budget-CRFB)


“มูดี้ส์” ประเมินว่า หนี้ทั้งหมดของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นมาก แตะเกือบ 36 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว ซึ่งหนี้สาธารณะ หรือหนี้ของภาครัฐมีมูลค่าเกือบ 29 ล้านล้านดอลลาร์ หรือร้อยละ 80 ของหนี้ทั้งหมด และคิดเป็นร้อยละ 98 ของ GDP ขณะที่ตัวเลขขาดดุลของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นแตะระดับเกือบร้อยละ 9 ของ GDP ภายในปี 2578 เมื่อเทียบกับร้อยละ 6.4 เมื่อปี 2567 ซึ่งมาจากภาระการจ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการที่สูงขึ้น และรายได้ที่ค่อนข้างต่ำ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้มีแนวโน้มที่หนี้สาธารณะจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 134 ของ GDP ภายในปี 2578 


นักเศรษฐศาสตร์แสดงความกังวลเกี่ยวกับหนี้ของสหรัฐฯ มานานหลายทศวรรษ และนักการเมืองต่างให้คำมั่นครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะจัดการเรื่องนี้ แต่หนี้ก็ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ตั้งแต่ยุคอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา หนี้ทั้งหมดของสหรัฐฯ อยู่ที่ 24.07 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่เมื่อปีที่แล้วอยู่ที่เกือบ 36 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 50 

กรณีของญี่ปุ่น ซึ่งมีหนี้มากที่สุดในบรรดาเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ก็กำลังเผชิญความยากลำบากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น โดยข้อมูลของกระทรวงการคลัง ระบุว่า ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะราว 8.7 ล้านล้านดอลลาร์ นับถึงสิ้นปี 2567 ซึ่งคิดเป็นกว่า 2 เท่าของ GDP


การที่หนี้ของญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูงเพราะที่ผ่านมาญี่ปุ่นขับเคลื่อนการใช้จ่ายด้วยการก่อหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่ำ ไม่ว่าจะเป็นการอุดหนุนเกษตรกรที่ประสบปัญหา รวมถึงมาตรการเยียวยาท่ามกลางวิกฤตโควิด นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีภาระด้านสวัสดิการสูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะจำนวนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น และปัจจุบัน ญี่ปุ่นกำลังเผชิญแรงกดดันในการก่อหนี้เพิ่มอีก ทั้งจากธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของของสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ และครัวเรือนที่เผชิญกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นก็เรียกร้องให้รัฐบาลลดภาษี


แต่เนื่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้เปลี่ยนแนวทางจากอัตราดอกเบี้ยติดลบที่เอื้อให้รัฐบาลกู้ยืมได้ง่าย ซึ่งใช้มาเป็นเวลาหลายปี มาเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแทน หมายความว่าต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลญี่ปุ่นจะสูงขึ้น รวมถึงธนาคารกลางได้ลดการซื้อพันธบัตรลง ทำให้ผู้ซื้อรายใหญ่หายไป ขณะที่นักลงทุนเอกชนไม่ได้เข้ามาซื้อทดแทนในระดับที่ใกล้เคียงกันจึงเกิดความไม่สมดุล ทั้งหมดนี้ให้นักลงทุนเริ่มกังวลกับภาวะการเงินของญี่ปุ่นมากขึ้น สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุด ซึ่งบ่งชี้ถึงความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการจ่ายหนี้ของรัฐบาล ประกอบกับความต้องการประมูลพันธบัตรอายุ 40 ปี ที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ 


เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นระยะยาวขยับขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะพันธบัตรอายุ 30 ปีที่ผลตอบแทนแตะร้อยละ 3.2 และพันธบัตรอายุ 40 ปีที่อยู่ที่ร้อยละ 3.675 ซึ่งเป็นที่จับตาของทั่วโลก เนื่องจากพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในเครื่องชี้วัดสำคัญของทิศทางนโยบายการเงินและความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในระยะยาว


อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์และเจ้าหน้าที่หลายราย มองว่า ญี่ปุ่นไม่ได้กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตทางการเงินในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่อยู่ในมือของธนาคารกลางญี่ปุ่นและสถาบันการเงินในประเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำที่เงินจะถูกดึงออกจากประเทศอย่างกะทันหัน แต่ก็เริ่มมีข้อกังวลมากขึ้นว่าญี่ปุ่นจะรักษาระดับการใช้จ่ายอย่างในปัจจุบันได้อีกนานแค่ไหน ท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา

สำหรับอังกฤษมีหนี้สาธารณะทั้งหมดประมาณ 2.8 ล้านล้านปอนด์ หรือเกือบร้อยละ 100 ของ GDP ซึ่งหนี้ในระดับปัจจุบันสูงกว่าในช่วงทศวรรษ 1980 จนถึงวิกฤตการณ์การเงินในปี 2551 มากกว่าเท่าตัว ทำให้เป็นอีกเขตเศรษฐกิจหลักที่มีความเปราะบางต่อการเทขายพันธบัตร และอังกฤษเป็นเพียงประเทศเดียวที่มีต้นทุนการกู้ยืมผ่านการออกพันธบัตรอายุ 30 ปี สูงกว่าร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม G7 แต่ปริมาณหนี้ยังต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ ในกลุ่ม


วิกฤตการเงินและการระบาดของโควิดส่งผลให้หนี้ของอังกฤษเพิ่มขึ้น สำหรับในปีงบประมาณล่าสุดที่สิ้นสุดเมื่อเดือนมีนาคม รัฐบาลอังกฤษกู้ยืมเงินราว 1.483 แสนล้านปอนด์ เฉพาะเดือนเมษายน การกู้ยืมอยู่ที่ 2.02 หมื่นล้านปอนด์ เพิ่มขึ้น 1 พันล้านปอนด์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การที่รัฐบาลกู้ยืมมากขึ้นและจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นจะทำให้รัฐบาลมีเงินเหลือใช้จ่ายสำหรับบริการสาธารณะน้อยลง


ฝรั่งเศสเป็นอีกประเทศในกลุ่ม G7 ที่มีสัดส่วนหนี้สาธารณะสูงกว่าร้อยละ 100 แต่แรงกดดันในตลาดพันธบัตรของฝรั่งเศส ซึ่งเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับความไม่มั่นคงทางการเมืองเมื่อปีที่แล้วได้คลี่คลายลง แต่ฝรั่งเศสไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดการหนี้สินนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด


ในปี 2567 หนี้สาธารณะของฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 113 ของ GDP เมื่อเทียบกับร้อยละ 109.8 ในปีก่อนหน้า ขณะที่ยังมีความท้าทายจากการขาดดุลงบประมาณ ซึ่งในปีที่แล้วอยู่ที่ 1.696 แสนล้านยูโร คิดเป็นร้อยละ 5.8 ของ GDP เนื่องจากรายได้และรายจ่ายไม่เร่งตัวเท่ากับปีก่อนหน้า แต่ตัวเลขดังกล่าวก็ไม่ใช่ข่าวดี เพราะตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นเกือบ 2 เท่าของเป้าหมายร้อยละ 3 ที่กำหนดไว้สำหรับเขตเศรษฐกิจในยูโรโซน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีแผนที่จะลดตัวเลขขาดดุลลงเหลือร้อยละ 5.4 ของ GDP ในปี 2568 ก่อนที่จะกลับมาอยู่ตามเพดานที่ร้อยละ 3 ในปี 2572


สำหรับอิตาลี สถานการณ์หนี้มีความน่ากังวลลดลง เนื่องจากเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และความน่าเชื่อถือด้านสินเชื่อที่ดีขึ้น บริษัท FX ประเมินว่า การขาดดุลงบประมาณของอิตาลีลดลงเหลือร้อยละ 3.4 ของ GDP ในปี 2567 เมื่อเทียบกับร้อยละ 7.2 ในปี 2566 และคาดว่าจะลดลงเหลือร้อยละ 2.9 ในปี 2569


ขณะที่หนี้สาธารณะของอิตาลีแตะ 3.069 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 135.3 ของ GDP ซึ่งตัวเลขหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาลของอิตาลีถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการอยู่รอดของยูโรโซนมาช้านาน 


รัฐบาลอิตาลีคาดการณ์ว่า หนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งถือเป็นอันดับ 2 ของยูโรโซน รองจากกรีซ เมื่อเทียบ GDP จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณร้อยละ 138 ของ GDP ในปี 2569 แต่หากการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568 ต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ร้อยละ 1.2 อย่างมีนัยสำคัญ อัตราส่วนหนี้ต่อ GDP น่าจะเพิ่มขึ้นอีก

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง