รีเซต

"แอปเปิล-ซัมซุง" ไม่รอดภาษี ราคาขึ้นถ้วนหน้า

"แอปเปิล-ซัมซุง" ไม่รอดภาษี ราคาขึ้นถ้วนหน้า
TNN ช่อง16
29 พฤษภาคม 2568 ( 12:01 )
7

มาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำลังสร้างแรงสะเทือนต่ออุตสาหกรรมสมาร์ตโฟนในระดับที่ใหญ่ขึ้นและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก เพราะไม่ใช่แค่ “ไอโฟน” ของค่ายแอปเปิล (Apple) ที่จะเผชิญกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในอัตราร้อยละ 25 แต่ยังรวมถึง “ซัมซุง” (Samsung) ยักษ์เทคโนโลยีจากเกาหลีใต้ และบริษัทอื่น ๆ ที่ผลิตสมาร์ตโฟนนอกสหรัฐฯ โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีดังกล่าวภายในสิ้นเดือนมิถุนายน อาจทำให้ราคาสำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้พุ่งสูงขึ้นมาก ทั้ง Galaxy Z Flip7 และ Z Fold7 สมาร์ตโฟนพับได้รุ่นใหม่ของ “ซัมซุง ที่จะเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม ส่วน “ไอโฟน 17” ซึ่งเป็นซีรีส์ล่าสุดของ “แอปเปิล” ก็จะเปิดตัวในเดือนกันยายน 


ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความไม่พอใจที่ “แอปเปิล” เพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องให้กลับมาผลิตไอโฟนในสหรัฐฯ แต่กลับนำเข้าจาก “อินเดีย” แทน “จีน” ที่เผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้ารุนแรงกว่า พร้อมกับขยายการเก็บภาษีไปยังผู้ผลิตมือถือรายอื่น ๆ เพื่อให้เท่าเทียมกัน


สหรัฐฯ เป็นตลาดสมาร์ตโฟนขนาดใหญ่สำหรับทั้ง “แอปเปิล” และ “ซัมซุง” ซึ่งเป็นผู้เล่นหลัก ข้อมูลจาก “สแตตเคาน์เตอร์” (StatCounter) ที่วิเคราะห์ข้อมูลตลาด พบว่า “แอปเปิล” มีส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ตโฟนสหรัฐฯ ราวร้อยละ 57.6 ระหว่างเดือนเมษายน ปี 2567-2568 ส่วน “ซัมซุง” มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณร้อยละ 23 เฉพาะ 2 ค่ายนี้มีส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ตโฟนสหรัฐฯ รวมกันราวร้อยละ 80 ตามมาห่าง ๆ ด้วย “กูเกิล” ที่ร้อยละ 4.5, “โมโตโรลา” ร้อยละ 3.8, “เสียวหมี่” ร้อยละ 1.7 และแบรนด์อื่น ๆ รวมกันร้อยละ 9.4


น่าสังเกตว่า กรณีของ “แอปเปิล” ตกเป็นเป้าหมายของผู้นำสหรัฐฯ ทั้งที่ไม่ใช่บริษัทที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติโดยตรง “หมิง ฉี-กั๋ว” นักวิเคราะห์จาก TF ซิเคียวริตี้ส์ มองว่า นี่ไม่ใช่การสุ่ม แต่ผ่านการคำนวณมาอย่างดี พร้อมหยิบยก 3 เหตุผลมาอธิบาย เริ่มจาก 1.ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการกดดันแบรนด์ระดับโลกอย่าง “แอปเปิล” เพื่อให้นโยบายของเขาได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง 2.“แอปเปิล” ไม่ค่อยตอบโต้กลับ ทำให้ใช้แรงกดดันได้ง่ายและไม่เผชิญกับปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรง และ 3.ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประโยชน์ไม่ว่าผลจะออกมาในทางใด หาก “แอปเปิล” ยอมย้ายการประกอบชิ้นส่วนกลับมายังสหรัฐฯ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็จะประกาศความสำเร็จของนโยบาย “เมด อิน อเมริกา” แต่ถ้ามีการเจรจายกเว้นภาษี เขาก็ยังสามารถหยิบยกเรื่องนี้มากดดันได้อีกในอนาคต


ที่จริงแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาบริษัทพยายามกระจายการผลิตไอโฟนในหลากหลายประเทศมากขึ้น นอกเหนือการพึ่งพาจีน โดยเฉพาะการให้น้ำหนักกับอินเดีย เพราะบริษัทเผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ตาม “เวดบุช ซิเคียวริตี้ส์” ประเมินว่า การผลิตและประกอบไอโฟนประมาณร้อยละ 90 ยังอยู่ในจีน ที่ผ่านมา “แอปเปิล” ลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สำหรับฝึกอบรมวิศวกรทักษะสูงหลายล้านคนในต่างประเทศ รวมถึงจีนและอินเดียที่มีจุดแข็งจากการมีประชากรจำนวนมาก และมีวิศวกรทักษะสูงจำนวนมากกว่าสหรัฐฯ ขณะเดียวกันบริษัทจ่ายต้นทุนน้อยกว่าในการจ้างแรงงานในจีนและอินเดียเมื่อเทียบกับการจ้างงานในสหรัฐฯ


“สตีฟ จ็อบส์” ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Apple ผู้ล่วงลับ เคยหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาหารือในการประชุมกับอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา เมื่อปี 2553 โดยระบุว่าระบบการศึกษาของสหรัฐฯ เป็นอุปสรรคสำหรับ “แอปเปิล” ที่ต้องการวิศวกรภาคอุตสาหกรรมราว 30,000 คน เพื่อสนับสนุนการผลิตในโรงงาน ซึ่งไม่สามารถหาวิศวกรจำนวนมากขนาดนี้ในสหรัฐฯ ได้

“แดน ไอฟส์” หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านเทคโนโลยีระดับโลกของ “เวดบุชฯ” ระบุก่อนหน้านี้ว่า แนวคิดที่จะให้ “แอปเปิล” ย้ายฐานการผลิตไอโฟนกลับไปยังสหรัฐฯ นั้นเป็นเพียงเรื่องสมมติที่ไม่อาจเป็นจริง พร้อมกับประเมินว่า ไอโฟนที่ผลิตในสหรัฐฯ อาจทำให้ราคาที่เคยขายอยู่ราว 1,000 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นเป็น 3,500 ดอลลาร์ หรือกว่า 120,000 บาท เนื่องจากจำเป็นต้องจำลองระบบนิเวศการผลิตที่ซับซ้อนอย่างมากเหมือนที่ดำเนินการอยู่ในเอเชียขณะนี้ และถึงแม้จะพยายามย้ายฐานการผลิต “แอปเปิล” ก็ยังต้องใช้เงินราว 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และใช้เวลา 3 ปีในการย้ายการผลิตเพียงร้อยละ 10 ของห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดกลับไปยังสหรัฐฯ ขณะที่การย้ายการผลิตไอโฟนทั้งหมดอาจใช้เวลานาน 5-10 ปี


เมื่อต้นปี “แอปเปิล” ประกาศลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อขยายโรงงานในสหรัฐฯ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นความพยายามเอาใจผู้นำสหรัฐฯ โดยจะเน้นผลิตเซิร์ฟเวอร์แทนการผลิตนอกสหรัฐฯ เพื่อรองรับระบบปัญญาประดิษฐ์ “แอปเปิล อินเทลลิเจนซ์” พร้อมขยายความสามารถของศูนย์ข้อมูลในหลายรัฐ


ทั้งที่เผชิญกับมาตรการภาษีของผู้นำสหรัฐฯ แต่ “แอปเปิล” ก็ยังเร่งนำเข้าไอโฟนจากโรงงานอินเดีย ข้อมูลจาก “ออมเดีย” (Omdia) บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลด้านเทคโนโลยี พบว่า การจัดส่งไอโฟนจากอินเดียไปยังสหรัฐฯ ในเดือนเมษายน อยู่ที่ราว 3 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในขณะที่การจัดส่งไอโฟนจากจีนในช่วงเวลาเดียวกัน เหลือเพียง 900,000 เครื่อง ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ต่อเนื่องจากเดือนมีนาคม สะท้อนถึงการปรับตัวด้านห่วงโซ่อุปทานของแอปเปิล แต่กำลังการผลิตของอินเดียยังไม่มากพอที่จะรองรับความต้องการทั้งหมดของตลาดสหรัฐฯ ซึ่งประเมินว่าความต้องการซื้อไอโฟนในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 20 ล้านเครื่องต่อไตรมาส


การเร่งประกอบชิ้นส่วนในอินเดียสะท้อนความเป็นไปได้ว่า แม้จะต้องจ่ายภาษีนำเข้าร้อยละ 25 แต่การประกอบชิ้นส่วนไอโฟนในอินเดียยังคงประหยัดกว่ามาก ดังที่รายงานของ Global Trade Research Initiative ระบุว่า ราคาไอโฟนที่เฉลี่ย 1,000 ดอลลาร์ มาจากการผลิตและประกอบชิ้นส่วนในหลายประเทศ โดยเกือบครึ่งหนึ่ง หรือราว 450 ดอลลาร์ มาจากการสร้างแบรนด์ การออกแบบ และซอฟต์แวร์ที่ดำเนินการในสหรัฐฯ ตามด้วยการผลิตชิปในไต้หวัน 150 ดอลลาร์ การผลิตหน้าจอ OLED และหน่วยความจำในเกาหลีใต้ 90 ดอลลาร์ ส่วนระบบกล้องจากญี่ปุ่น 85 ดอลลาร์ รวมถึงชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ที่ผลิตโดย “ควอลคอมม์” และ “บรอดคอม” ในสหรัฐฯ อีก 80 ดอลลาร์ ชิ้นส่วนขนาดเล็กที่ผลิตในเยอรมนี เวียดนาม มาเลเซีย ราว ๆ 45 ดอลลาร์ ขณะที่ต้นทุนการประกอบชิ้นส่วนไอโฟนในจีนและอินเดียอยู่ที่เพียง 30 ดอลลาร์ ซึ่งมีสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 3 ของราคาขายปลีก 


แต่หาก “แอปเปิล” ย้ายโรงงานไปสหรัฐฯ ตัวเลขจะเปลี่ยนไปจากเดิมมาก เพราะในอินเดีย พนักงานในโรงงานมีรายได้ประมาณ 230 ดอลลาร์ต่อเดือน ผิดกับในรัฐแคลิฟอร์เนีย ค่าจ้างขั้นต่ำและค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 2,900 ดอลลาร์ต่อเดือน เท่ากับต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น 13 เท่า หมายความว่าการประกอบชิ้นส่วนในสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 390 ดอลลาร์ เทียบกับ 30 ดอลลาร์ ในอินเดีย ซึ่งนี่ยังไม่นับรวมราคาชิ้นส่วนต่าง ๆ หรือระบบโลจิสติกส์


เมื่อพิจารณาภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ร้อยละ 25 สำหรับไอโฟนที่ประกอบในอินเดีย ภาษีจะทำให้ต้นทุนการประกอบเพิ่มจาก 30 ดอลลาร์ เป็น 37.5 ดอลลาร์ต่อเครื่อง ซึ่งก็ยังต่ำกว่า 390 ดอลลาร์ หากประกอบไอโฟนในสหรัฐฯ เท่ากับว่าแม้จะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติม การประกอบชิ้นส่วนไอโฟนในอินเดียก็ยังถูกกว่าในสหรัฐฯ ประมาณ 10 เท่า 


ปัจจุบัน “แอปเปิล” มีกำไรประมาณ 450 ดอลลาร์ต่อไอโฟน 1 เครื่อง เนื่องจากการออกแบบ การสร้างแบรนด์และซอฟต์แวร์ แต่ถ้าย้ายการผลิตไปสหรัฐฯ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น 390 ดอลลาร์ ก็จะทำให้เหลือกำไรราว 60 ดอลลาร์ต่อเครื่อง ยกเว้นว่าจะปรับขึ้นราคาไอโฟนเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น 

กรณีของ “ซัมซุง” สื่อเกาหลีใต้ “โชซุน เดลี” รายงานว่า บริษัทได้วิเคราะห์ต้นทุนและทางเลือกต่าง ๆ มาตั้งแต่เดือนที่แล้ว หลังมีแนวโน้มเผชิญภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ของสหรัฐฯ ซึ่งกระทบแหล่งผลิตสมาร์ตโฟนที่สำคัญ เนื่องจาก “ซัมซุง” ไม่ได้ผลิตสมาร์ตโฟนในสหรัฐฯ โดยเกือบครึ่งหนึ่งของการผลิตสมาร์ตโฟนทั่วโลกอยู่ในเวียดนาม ส่วนที่เหลือผลิตในเกาหลีใต้ อินเดีย บราซิล และอินโดนีเซีย สำหรับทางเลือกก็มีตั้งแต่การสร้างโรงงานในสหรัฐฯ ไปจนถึงการเปลี่ยนเส้นทางการส่งออกผ่านประเทศที่ภาษีศุลกากรต่ำ 


“เทคอินไซต์” บริษัทวิจัยตลาด ประเมินว่า “ซัมซุง” มีรายได้จากการขายสมาร์ตโฟนในสหรัฐฯ ราว 25 ล้านล้านวอน หรือ 1.85 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 17 จากรายได้ในธุรกิจสมาร์ตโฟนทั้งหมดในปี 2567 ที่ 114.4 ล้านล้านวอน และ “ซัมซุง” ส่งมอบสมาร์ตโฟนราว 30 ล้านเครื่องไปยังสหรัฐฯ ในปีที่แล้ว ขณะที่ธุรกิจสมาร์ตโฟนมีสัดส่วนราวร้อยละ 64.3 ของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมดในไตรมาสแรกปีนี้ ซึ่งทดแทนธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ที่มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 16.4


การสร้างโรงงานในสหรัฐฯ อาจทำให้ “ซัมซุง” ต้องมีรายจ่ายเพิ่มประมาณ 3 ล้านล้านวอน หรือ 2.2 พันล้านดอลลาร์ เมื่อคำนึงถึงต้นทุนแรงงาน ราคาที่ดิน และการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ในระยะยาว การผลิตในสหรัฐฯ อาจลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และทำหน้าที่ป้องกันความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่การย้ายห่วงโซ่อุปทานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อพิจารณาจากข้อจำกัดดังกล่าว ก็มีความเป็นไปได้ที่ “ซัมซุง” จะขึ้นราคาสมาร์ตโฟนในสหรัฐฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากกำแพงภาษี


ข่าวที่เกี่ยวข้อง