TNN ช่อง 16 ครบรอบ 18 ปี เสวนา “ฝ่าวิกฤต สร้างกำไร บนความเสี่ยง”

TNN ช่อง 16 จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี ภายใต้ธีม “Transforming Thailand ปรับโฉมไทย สู่อนาคตและความยั่งยืน” เนื่องในโอกาสครบรอบ 18 ปี ซึ่งมีเวทีเสวนาย่อยในหัวข้อ “ฝ่าวิกฤต สร้างกำไร บนความเสี่ยง” เริ่มด้วยหุ้นไทย
หุ้นไทยซบเซา แนะกระจายพอร์ตทั่วโลก
คุณกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่ สายการบริหารพอร์ตการลงทุน บริษัท หลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) บอกว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะซบเซา ท่ามกลางตลาดหุ้นโลกที่ทำ New High อย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป และทองคำ ที่ทำ New High ติดต่อกัน แต่ตลาดหุ้นไทยกลับเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบจำกัด สาเหตุหลักมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ขาดอุตสาหกรรมใหม่ เทคโนโลยีล้ำสมัย และขาดการปฏิรูปเชิงนโยบายจากภาครัฐ ขณะที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลออกไปยังตลาดที่มีโอกาสเติบโตมากกว่า
นักลงทุนมองว่า ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยจะไม่โดดเด่นในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังถือเป็นสินทรัพย์ที่ลงทุนเพื่อรับปันผลได้ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการ การท่องเที่ยว สุขภาพ โลจิสติกส์ และพลังงานหมุนเวียน ซึ่งยังคงมีศักยภาพในประเทศ พร้อมแนะนักลงทุนรายย่อยให้หันมาเน้นการกระจายพอร์ตไปยังสินทรัพย์ทั่วโลก เช่น หุ้นสหรัฐฯ กองทุนทองคำ หรือแม้กระทั่งการลงทุนใน สินทรัพย์ทางเลือก อย่างเช่น คริปโทเคอร์เรนซี รถคลาสสิก ฟาร์มปลาคาร์ฟ สำหรับหุ้นที่น่าจับตา กลุ่มท่องเที่ยว MINT , ERW, AOT, กลุ่มสุขภาพเช่น BDMS, BH รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เช่น GPSC, EA และกลุ่มโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับการค้าโลก
การเมือง-เศรษฐกิจ ปัจจัยฉุดหุ้นไทย
คุณเกษม พันธ์รัตนมาลา ผู้บริหารสูงสุดสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า แม้เศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณเชิงบวก โดยเฉพาะจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจลดดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.75 ภายในปีนี้ แต่ตลาดหุ้นไทยกลับยังคงถูกกดดันจากปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมือง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
อย่างไรก็ตามแม้รัฐบาลจะพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่ง แต่ข้อจำกัดด้านงบประมาณ โดยเฉพาะระดับหนี้สาธารณะที่อยู่ราวร้อยละ 63-64 ของ GDP รวมถึงฐานภาษีที่ยังต่ำ ทำให้การดำเนินโครงการขนาดใหญ่หรือการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงลึกยังทำได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งอาจช่วยบรรเทาภาระต้นทุนทางการเงินของภาคเอกชนได้บ้างในช่วงครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ดี คุณเกษมมองว่า หากสถานการณ์การเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า ตลาดหุ้นไทยอาจฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากฐานที่ต่ำในปีนี้ โดยประเมินว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้จะเติบโตได้ประมาณร้อยละ 9 และในปีหน้าอีกร้อยละ 7 พร้อมคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวดีขึ้น หากไม่มีเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยลบเข้ามาอีก
หุ้นสหรัฐแกร่ง เทคโนโลยี-AI น่าลงทุน
มาดูในส่วนของการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยคุณชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ วีบูลล์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและ AI ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แม้จะเผชิญแรงกดดันจากนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางของสหรัฐ เฟดในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่าร้อยละ 15 ภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือน ขณะที่บริษัทชั้นนำอย่าง Apple, Google และ Nvidia ยังคงรายงานผลประกอบการที่เติบโตได้ดี
ในด้านกลยุทธ์การลงทุน คุณชลเดชแนะนำว่า ช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวสูง นักลงทุนควรพิจารณาใช้ เครื่องมือทางเลือกอย่าง Option เพื่อบริหารความเสี่ยง ส่วนเงินบาทแข็งค่าก็อาจเป็นจังหวะดีในการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ เช่น ETF หรือหุ้นกลุ่มนวัตกรรมในสหรัฐฯ ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ดอกเบี้ยขาลง หนุนลงทุน-กระจายเสี่ยง
คุณชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) บอกว่า ดอกเบี้ยยังคงเป็นปัจจัยหลักที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง ทั้งจากสหรัฐฯ และไทย แนวโน้มโดยรวมยังคาดว่าดอกเบี้ยจะอยู่ในทิศทางขาลง ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนให้การลงทุนกลับมาคึกคักขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ความเชื่อมั่นในตลาดกลับมาดีขึ้น แม้เศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ โดยมองว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศและความเสี่ยงจากทรัมป์ ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง
สำหรับกลยุทธ์หลักที่แนะนำคือ “การกระจายการลงทุน” ทั้งในและต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับ Core Asset ที่เป็น Global Market เพื่อรองรับความผันผวนในอนาคต โดยเน้นการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ หุ้นเทคโนโลยี ทองคำ และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น อะลูมิเนียม แพลตตินัม ที่ปีนี้ให้ผลตอบแทนสูงมาก รวมถึงตราสารหนี้ระยะสั้นและกองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็ยังคงน่าสนใจในภาวะดอกเบี้ยขาลง แต่ย้ำว่าการกระจายความเสี่ยงจะเป็นแนวทางสำคัญในการลงทุนระยะต่อไป
ทองคำพุ่งแรง เสี่ยงพักฐาน-บาทแข็งกดดัน
ปิดท้ายด้วยทองคำ โดยคุณวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด บอกว่า ราคาทองคำยังคงเดินหน้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความไม่แน่นอน ทั้งจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยในปีนี้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นแล้วกว่า ร้อยละ 39 และคาดการณ์ว่าปีหน้าอาจแตะระดับ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ได้ แม้ทองคำจะมีแนวโน้มขาขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าราคาที่ปรับขึ้นอย่างร้อนแรงอาจตามมาด้วยการพักฐานที่รุนแรงเช่นกัน
โดยคาดว่าการพักฐานอาจอยู่ในกรอบ 200–300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และต้องจับตาแนวรับสำคัญที่ 3,450–3,500 ดอลลาร์ หากหลุดระดับนี้อาจเห็นราคาทองย่อตัวลึกขึ้น ขณะที่นักลงทุนระยะยาวควรประเมินว่ารับแรงเหวี่ยงของราคาได้หรือไม่ ขณะเดียวกันหากราคาทองขยับใกล้ 56,000–57,000 บาทต่อบาททองคำ อาจเป็นจังหวะแบ่งขายเพื่อลดความเสี่ยง ในด้านค่าเงินบาท การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลลบต่อราคาทองในประเทศ
หากเงินบาทแข็งค่าจากระดับปัจจุบัน ที่ 31.65 บาท/ดอลลาร์ ลงไปถึง 31.00 บาท จะทำให้ราคาทองคำไทยปรับลดลงราว 600–700 บาทต่อบาททอง อย่างไรก็ตาม หากเฟดยืนยันปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง 2–3 ครั้งในปีนี้และปีหน้า ก็อาจเป็นปัจจัยบวกหนุนให้ราคาทองทะยานแตะเป้าหมาย 60,000 บาทต่อบาททองคำในปีหน้า
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
