รีเซต

อัปเดตความคืบหน้าการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ล่องหน J-36 ของจีน สะท้อนความก้าวกระโดดด้านอากาศยานของจีน

อัปเดตความคืบหน้าการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ล่องหน J-36 ของจีน สะท้อนความก้าวกระโดดด้านอากาศยานของจีน
TNN ช่อง16
4 พฤศจิกายน 2568 ( 23:08 )
8

จีนเผยโฉมเครื่องบินขับไล่ไร้หางต้นแบบรุ่นใหม่ลำที่ 2 ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็น J-36 เครื่องบินขับไล่ล่องหนยุคที่ 6 ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านอากาศยานของจีน และเป็นสัญญาณชัดเจนว่าปักกิ่งกำลังเร่งไล่ตามมหาอำนาจตะวันตกในการชิงความเป็นผู้นำทางอากาศ การเปิดตัวครั้งนี้มีขึ้นหลังจากเครื่องบินลำแรกทดสอบในช่วงต้นปี 2025

ก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีของ J-36

ต้นแบบ J-36 มีรูปลักษณ์ล้ำอนาคตและมีขนาดใหญ่ บินสาธิตคู่กับ J-20 เครื่องบินขับไล่หลักของจีน ผู้เชี่ยวชาญหลายรายยกให้เป็นสุดยอดอาวุธแห่งอนาคต  และหนึ่งในเครื่องบินที่ก้าวหน้าที่สุดเท่าที่จีนเคยสร้างมา ซึ่งแสดงถึงพัฒนาการครั้งสำคัญในสมรภูมิคว้าความเป็นเจ้าอากาศโลก

จุดเด่นทางวิศวกรรมของ J-36

ดีไซน์ไร้หาง (Tailless Design): ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมขั้นสูงแทนครีบหางแนวตั้งแบบเดิม เพื่อเสริมเสถียรภาพและการควบคุม ทำให้เรดาร์ตรวจจับได้ยากขึ้น เหมาะสำหรับภารกิจลับที่ต้องอาศัยความสามารถด้าน stealth สูงสุด

การออกแบบขนาดและโครงสร้าง โดยจากภาพถ่ายดาวเทียม คาดว่ามีความยาวราว 62 ฟุต และปีกกว้างประมาณ 65 ฟุต ใกล้เคียงกับ J-20

การพัฒนาการต่อเนื่อง รุ่นต้นแบบลำที่ 2 มีการปรับปรุงโครงสร้างหลายจุด ทั้งช่องรับอากาศ ระบบฐานล้อ และรายละเอียดตัวถัง เมื่อเทียบกับต้นแบบแรกที่พบในเดือนธันวาคม 2024

ระบบไอเสียใหม่ โดยจากช่องระบายไอเสียแบบเว้าลึก เปลี่ยนเป็นหัวฉีดแรงขับปรับทิศทางแบบ 2 มิติ (2D Thrust Vectoring) คล้ายเครื่อง F-22 ของสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและการควบคุม แม้อาจลดความสามารถในการพรางตัวลงเล็กน้อย

ยูอัน เกรแฮม (Euan Graham) นักวิเคราะห์จากสถาบันยุทธศาสตร์ออสเตรเลีย (ASPI) ให้ความเห็นว่า “ดีไซน์ใหม่นี้สะท้อนถึงความกล้าที่จีนจะทดลองและสร้างนวัตกรรมในอุตสาหกรรมการบินของตน”

ปรากฏการณ์ที่ฐานลับ

ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดยังเผยการปรากฏตัวของเครื่องบินขับไล่ล่องหนสองรุ่นคือ J-36 และ J-XDS หรือ J-50 ที่ฐานทัพอากาศลับใกล้พื้นที่ทดสอบนิวเคลียร์ Lop Nur ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ฐานดังกล่าวมีการขยายรันเวย์ยาวกว่า 16,400 ฟุต ถือเป็นหนึ่งในรันเวย์ที่ยาวที่สุดในโลก

การที่ต้นแบบทั้งสองปรากฏพร้อมกันในพื้นที่นี้ บ่งชี้ว่าฐานทัพ Lop Nur กำลังทำหน้าที่เป็นศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีการรบทางอากาศขั้นสูงของจีน ซึ่งนักวิเคราะห์เปรียบเทียบกับ Area 51 ของสหรัฐฯ ในรัฐเนวาดา

สำหรับ J-XDS นั้นมีขนาดเล็กกว่า J-36 เล็กน้อย ปีกกว้างราว 50 ฟุต และใช้เครื่องยนต์สองตัว ซึ่งการดำเนินการคู่ขนานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเร่งรีบของจีนในการผลักดันโครงการเครื่องบินรบยุคที่ 6

สมรภูมิสงครามอากาศระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 6 ถูกออกแบบให้มีจุดเด่นด้านการผสาน AI ความสามารถในการทำงานร่วมกับโดรนต่อสู้แบบอัตโนมัติ (Collaborative Combat Aircraft  หรือ CCA) และเทคโนโลยีพรางตัวที่เหนือชั้น

สหรัฐฯ มีแผนประจำการเครื่องบินยุคที่ 6 ในช่วงปี 2030 ขณะที่จีนกลับแสดงความก้าวหน้าที่รวดเร็วกว่าที่คาดไว้ นักวิเคราะห์เชื่อว่าแนวทางการพัฒนาแบบก้าวกระโดด (leapfrogging) และการทดสอบต้นแบบอย่างรวดเร็ว (rapid iteration) ของจีนเป็นสิ่งที่หาได้ยากในวงการอากาศยานสมัยใหม่

ฝั่งสหรัฐฯ แม้ยังคงดำเนินงานอย่างลับ แต่กองทัพอากาศสหรัฐฯ ก็มีโครงการ Next Generation Air Dominance (NGAD) ที่เริ่มบินสาธิตตั้งแต่ปี 2019 พร้อมการอัปเกรดฝูงบินยุคที่ 5 อย่างต่อเนื่อง เช่น

เครื่องบินขับไล่ล่องหน F-22 Raptor อยู่ระหว่างการปรับปรุงระบบ “F-22 Capability Pipeline” ให้รองรับอาวุธ AIM-260 JATM, ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ และเซนเซอร์ล้ำสมัย เพื่อยืดอายุการใช้งานถึงช่วง 2030s

เครื่องบินขับไล่ล่องหน F-35 Lightning II กำลังพัฒนาเป็นเครื่องบินยุค 5+ หรือ 5 Plus Generation ที่มีสมรรถนะใกล้เคียงยุคที่ 6 ในราคาที่ต่ำกว่าครึ่ง

ถึงแม้สหรัฐฯ จะยังคงเหนือกว่าในด้านเทคโนโลยี แต่จีนอาจใช้ ศักยภาพการผลิตจำนวนมาก เป็นตัวพลิกเกม ปัจจุบันจีนมี J-20 มากกว่า 300 ลำ และสายการผลิต 5 แห่งที่สามารถผลิตเครื่องใหม่ทุก 8 วัน ขณะที่ F-35 ของสหรัฐฯ ผลิตได้ราว 140 ลำต่อปี ซึ่งหมายความว่าภายใน 2-3 ปี ข้างหน้า จีนอาจมีกำลังฝูงบินเทียบเท่าหรือมากกว่า

ผู้นำกองทัพอากาศสหรัฐฯ จึงเตือนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเพิ่มจำนวนเครื่องบินขับไล่ให้เพียงพอต่อภารกิจทั่วโลก ท่ามกลางแรงกดดันจากการขยายอำนาจทางอากาศของจีนและรัสเซีย

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง