"อุตสาหกรรมการบิน" จะปล่อยคาร์บอนเป็น 0 ให้ได้ภายในปี 2050
Pratt & Whitney ยักษ์ใหญ่ด้านการบินและอวกาศลงนามกับ Air bp ผู้ผลิต "เชื้อเพลิงด้านการบินที่ยั่งยืน" (sustainable aviation fuel หรือ SAF) เพื่อสร้าง SAF 100% ที่ใช้สำหรับทดสอบเครื่องยนต์และการวิจัยด้านการบินที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อตั้งเป้าที่จะให้อุตสาหกรรมการบินจะก้าวเข้าสู่การปล่อยคาร์บอนให้เป็น 0 ภายในปี 2050 (carbon net-zero)
- ปัจจุบันอุตสาหกรรมการบินปล่อยคาร์บอนคิดเป็น 2% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก
- Pratt & Whitney และ Air bp จะศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการลดการปล่อยไอเสียโดยใช้ SAF
- เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา Airbus ได้ทำการบินด้วยเครื่อง A380 สองชั้น (double-decker) โดยใช้ SAF100% ที่ทำมาจากน้ำมันปรุงอาหารเป็นหลัก [อ่านต่อได้ที่นี่]
- Rolls-Royce ยังได้ทำการทดสอบในการเพิ่มพลังให้กับเครื่องยนต์ เพื่อให้ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกที่ยั่งยืนในอนาคตได้
- เทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในปัจจุบันยังไม่ก้าวหน้ามากพอที่จะสามารถจ่ายพลังงานให้กับเครื่องบินโดยสารในระยะไกลได้
SAF ยังไม่ใช่เชื้อเพลิงยั่งยืนที่บริษัทเหล่าต่างๆ ใช้กันเพื่อแก้ปัญหาหารลดการปล่อยคาร์บอนลง
- Pratt & Whitney กำลังพัฒนาระบบไฟฟ้าไฮบริดและเทคโนโลยีเชื้อเพลิงไฮโดรเจน
- Airbus ประกาศว่าจะใช้เครื่องบินโดยสาร A380 เพื่อทดสอบระบบขับเคลื่อนไฮโดรเจนภายในปี 2026
- Graham Webb หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านความยั่งยืนของ Pratt & Whitney มองว่าอุตสาหกรรมการบินเชิงพาณิชย์ต้องใช้แนวทางที่หลากหลายในการจัดการกับความท้าทายของการบินอย่างยั่งยืน โดยประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่เรียบง่าย ช่วยลดการปล่อยมลพิษลงได้เป็นอย่างมาก
ปัจจุบันองค์การบริหารการบินแห่งชาติ Federal Aviation Administration หรือ FAA อนุญาตให้ใช้ SAF 50% ผสมเข้ากับน้ำมันก๊าดเท่านั้น บริษัทต่างๆ อย่าง Pratt & Whitney, Airbus, Rolls-Royce และอื่นๆ กำลังพยายามเพื่อให้ทาง FAA รับรองการใช้ SAF 100% ซึ่งจะช่วยได้มากในการทำให้อุตสาหกรรมการบินบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนออกมาเป็น 0 ภายในปี 2050 (carbon net-zero)
แหล่งที่มา interestingengineering.com