"Taobao" อีคอมเมิร์ซจีนบุกไทย เปิดตัวเวอร์ชันภาษาไทย l การตลาดเงินล้าน

เถาเป่า เป็นแพลตฟอร์มชอปปิงออนไลน์รายล่าสุด ที่ประกาศบุกตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดตัว เวอร์ชันภาษาไทย ซึ่งมาครบทั้งบริการ ข้อเสนอและโปรโมชันจูงใจ
แพลตฟอร์มดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยี ทั้งระบบการชำระเงิน และเครือข่ายโลจิสติกส์ในกลุ่ม อาลีบาบา เปิดตัวครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2546 ในประเทศจีน ซึ่ง เถาเป่า มีความหมายว่า การค้นหาสมบัติ และมีเป้าหมายในการเป็น เถาเป่าสำหรับทุกคน
โดยเป็นแหล่งรวมสินค้าขนาดใหญ่ นำเสนอสินค้าหลากหลาย ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าแฟชัน อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงของใช้ในชีวิตประจำวัน
ตามรายงานของ อนาลิซิส (Analysys) พบว่า ในปีงบประมาณสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2024 เถาเป่า และ ทีมอลล์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มในเครือ อาลีบาบา ร่วมกันครองตำแหน่งธุรกิจค้าปลีกดิจิทัลที่มีมูลค่าสินค้ารวมสูงที่สุดในโลก โดยได้เปิดตัวระบบรองรับภาษามากมาย ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ขั้นสูง ที่เป็นการยกระดับประสบการณ์การชอปปิง
นั่นก็ทำให้บรรยากาศการแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซไทยดูจะร้อนแรงยิ่งขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง โดยคุณ ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพย์ โซลูชั่น จำกัด ให้ความเห็นว่า เถาเป่า เป็นเว็บอีคอมเมิร์ซรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของจีน ที่มีสินค้าเป็นหลัก 1,000 ล้านชิ้น ซึ่งการเข้ามาบุกไทย เป็นการเข้ามาอย่างเต็มระบบ และเป็นศึกใหม่ของคนทำธุรกิจ
คุณภาวุธ พูดถึงในภาพรวมด้วย โดยบอกว่า แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจีนที่เข้ามาในประเทศไทย จะมีความได้เปรียบทางด้านเงินทุนมากกว่า ยิ่งสร้างความน่ากังวลต่อผู้ประกอบการ และเศรษฐกิจไทยในระยะยาวมากขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยต้อง ตั้งสติ และ ตั้งรับ อย่างจริงจัง ยกระดับสินค้าของตัวเอง สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ใช้ มาร์เทค (MarTech) ให้เป็น และประยุกต์ใช้ บิ๊ก ดาต้า (Big Data) ในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า เป็นต้น
ความกังวลต่อสินค้าจีนทะลักเข้าไทย ก็ยังมีต่อเนื่อง โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ แสดงความเห็นผ่านช่องทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ส่วนหนึ่งระบุว่า การที่จีนโดนเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ที่ร้อยละ 55 อาจส่งผลให้เกิด ไชน่า ฟลัดดิ้ง (China Flooding) ซึ่งจะเป็นปัญหาที่ทำให้หนักใจ และคงต้องเตรียมมาตรการช่วย เอสเอ็มอี ในการรับมือบรรเทาผลกระทบ ขณะเดียวกัน ควรเร่งหาตลาดใหม่ให้กับสินค้าไทย เพื่อลดสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ตัวเลขดุลการค้าระหว่างไทย-จีน ยังตอกย้ำถึงความกังวลที่มีมากขึ้นด้วย ดูจากตัวเลขย้อนหลัง ในปี 2566 ไทยขาดดุลการค้ากับจีน คิดเป็นมูลค่า 36,635 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อมาปี 2567 พบว่าขาดดุลเพิ่มขึ้นอีก เป็นมูลค่า 45,364 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วย
และข้อมูลล่าสุดช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ระหว่างเดือนมกราคม ถึงเมษายน ตามรายงานของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ไทยขาดดุลการค้า คิดเป็นมูลค่า 19,232 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไทยส่งออกไปจีน มูลค่า 12,331 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำเข้าจากจีนมูลค่า 31,564 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
