รีเซต

อิสราเอล : รู้จัก! 'ยิว' ผ่าน 'เวณิชวานิส' เรื่องเล่าพ่อค้าเงินกู้

อิสราเอล : รู้จัก! 'ยิว' ผ่าน 'เวณิชวานิส' เรื่องเล่าพ่อค้าเงินกู้
TeaC
22 พฤษภาคม 2564 ( 15:13 )
503
1
อิสราเอล : รู้จัก! 'ยิว' ผ่าน 'เวณิชวานิส' เรื่องเล่าพ่อค้าเงินกู้

 

สงครามแห่ง  'อิสราเอล' และ 'ปาเลสไตน์' มหากาพย์ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี จนถึงความรุนแรงระลอกล่าสุดราวร่วมเดือน การต่อสู้ที่เริ่มขึ้นกลางคริสต์ศวรรษที่ 20 ขยายกว้างชนิดที่ยืดเยื้อ ราวกับว่าความขัดแย้งที่หายยากที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้

 

 

สารบัญ

 

 

หลายคนอาจทราบกันดีว่า ชาวยิว เป็นชนชาติและกลุ่มศาสนพันธุ์หนึ่ง มีเชื้อสายมาจากวงศ์วานอิสราเอล หรือชนเผ่าฮีบรู ในแผ่นดินตะวันออกใกล้ยุคโบราณ 

 

 

จากการค้นหาประวัตเกี่ยวกับ "ชาวยิว" พบว่า ชาวยิวเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะอุปถัมภ์ค้ำชุไว้เหนือชาติอื่น ๆ ตามหลักคัมภีร์ฮีบรู 

 

 

และด้วยความเชื่อนี้เองกลายเป็นเครื่องมือยึดเหนี่ยวให้ "ชาวยิว" ที่กระจัดกระจายไปในหลายดินแดง ยังคงความเป็นกลุ่มก้อนและมีการสืบทอดความเป็น "ยิว" เรื่อยมา 

 

 

ปัจจุบันทั่วโลกมีประชาชนที่มีเชื้อสาย "ยิว" อยู่ราว 14.4 - 17.5 ล้านคน และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา

 

 


รู้จัก ประวัติ "ชาวยิว" ให้มากขึ้น

 

 

ทั้งนี้ พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิม ซึ่งเป็นคัมภีร์ศาสนาของชาวยิวหรือชาวฮิบรู กล่าวว่าประวัติศาสตร์ของชาวยิวและศาสนานี้เริ่มต้นที่ชายชื่อ อับราฮัม (นบีอิบรอฮีม) อาศัยอยู่ในเมืองคลาเดียบาบิโลน ณ ขณะนั้นเมืองสำคัญต่าง ๆ มีการนับถือรูปเคารพ และเทพเจ้าของตนเอง แต่อับราฮัมคิดว่า พระเจ้าที่แท้จริงจะมีเพียงพระองค์เดียว เขาได้พบพระเจ้า และพระองค์ทรงให้อับราฮัมและครอบครัวได้ออกเดินทางไปยังแผ่นดินแห่งพันธสัญญา ที่พระองค์จะประทานให้เขาและเชื้อสายของเขา 

 

 


นี่เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเชื้อชาติอิสราเอล และ ศาสนาใหม่ที่รู้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้พระองค์เดียวเท่านั้น 

 

 


ขณะที่ ไบเบิลและอัลกุรอานได้บอกเล่าเรื่องของ "ชาวยิว" หรือลูกหลานของอิสราเอล โดดยบุตรของยิตซ์ฮาก (นบีอิสฮาก) บุตรของอับราฮัม เริ่มจากอับราฮัมได้ลูกชายตามที่พระเจ้าทรงประทานให้ที่กำเนิดกับนางซาร่าชื่อว่า อิสอัค หรือไอเซ๊ค (Isaac) ต่อมาอิสอัค ได้ให้กำเนิดบุตร 2 คนคือ เอซาว  และจาขอบ (Jacob) 

 

 


โดยเฉพาะจาขอบ (นบียะห์กูบ) ผู้เป็นน้องได้พบชายคนหนึ่งที่เปนีเอล เขามองไม่เห็นใบหน้าแต่ปล้ำสู้จนเกือบรุ่งสาง และจาขอบได้ถามชื่อ แต่บุรุษผู้นั้นไม่ตอบ เขาได้แต่บอกว่า ต่อจากนี้ไป "จาขอบ" จะได้ชื่อใหม่ว่าอิสราเอล ซึ่งหมายถึงผู้ที่ปล้ำสู้พระเจ้า และก่อนที่จาขอบจะปล่อยชายคนนั้นไปจาขอบบอกว่า "โปรดอวยพรให้เขาก่อนแล้วจึงจะปล่อย" ซึ่งจาขอบหรือชื่อใหม่ว่าอิสราเอล เขามั่นใจว่าเขาพบพระเจ้าจริง ๆ

 

 


อิสราเอลกับเชื้อสาย

 


เชื้อสายจาขอบ หรืออิสราเอลนั้น มี 12 คน หนึ่งในนั้นคือ โยเซฟ (นบียูซุฟ) อยู่ที่อาณาจักรของชาวอียิปต์ แต่ต่อมาสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป ลูกหลานของอิสราเอลได้ถูกกดขี่จนกระทั่งต้องกลายเป็นทาสรับใช้ถึง 400 ปี 

 

 


ช่วงนั้นจะเรียกเชื้อสายอิสราเอลว่าฮีบรู จนกระทั่ง โมเสส (นบีมูซา) ลูกชาวฮีบรูที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยภรรยของฟาโรห์จนกลายเป็นเจ้าชายแห่งอียิปต์ ได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ปลดแอกชาวยิวในอียิปต์ โดยให้พาชาวอิสราเอล หรือฮีบรู ออกเดินทางจากเมือง เพื่อกลับไปยังปาเลสไตน์แผ่นดินแห่งพันธสัญญา แม้จะถูกกองทัพแห่งอียิปต์ขัดขวาง แต่พระเจ้าได้เปิดทะเลแดง โดยผ่านไม้เท้าของโมเสส ให้ชาวอิสราเอลผ่านไปได้ และกลับไหลท่วมทหารอียิปต์ที่ตามมาโจมตี 

 

 


จากนั้นระหว่างทางที่โมเสสพาชาวฮีบรูกลับไปยังแผ่นดินแดนของบรรพบุรุษ เขาพบกับพระเจ้าบนภูเขาไสไน (ซีนาย) และได้รับบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้า แต่เนื่องจากชาวอิสราเอลไม่ปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้า จึงถูกลงโทษให้หลงทางในทะเลทรายเป็นเวลา 40 ปี หลังจากที่เดินทางกลับเข้าสู่คานาอันหรือดินแดนแห่งพันธสัญญาแล้ว โมเสสได้เสียชีวิตลง แต่ลูกหลานชาวฮีบรูก็ได้อาศัยอยู่ในเมืองคานาอันหรืออิสราเอลต่อมา

 

 


ชนชาติอิสราเอลก่อสร้างชาติจากชนเผ่าเชื้อสายของจาขอบ

 

 


ช่วงนั้นจะเรียกว่า เลวี เบนยามิน และยูดาห์ กษัตริย์เดวิดก็กำเนิดในชนเผ่านี้ ชนชาติฮิบรูในช่วงที่มีกษัตริย์ได้ตกเป็นทาสของบาบิโลน และเปอร์เซีย และหลังจากถูกจับเป็นเชลยอยู่หลายปีได้เดินทางกลับไปสร้างชาติอีกครั้ง จนมาถึงสมัยพันธสัญญาใหม่ กองทัพโรมมหาอำนาจของโลกได้เข้ายึดกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงสุดท้ายก่อนอิสราเอลจะสิ้นชาติ พระคริสต์ได้ประสูติ และบอกว่าพระองค์คือบุตรของพระเจ้า จนนำไปสู่การตรึงกางเขนโดยสาวกของพระองค์ที่ชื่อยูดัส เอสคาริโอ

 

 

 

ซึ่งในตอนนั้นก่อนที่ชนชาติอิสราเอลจะสิ้นชาติในปีคริสต์ศักราช 70 ชาวอิสราเอล หรือ ฮีบรู ที่เชื่อในพระคริสต์จะถูกแยกออกจากชาวอิสราเอลที่นับถือลัทธิยูดาย และการประกาศพระกิติคุณพระเจ้าได้อนุญาตให้ชาวต่างชาติเชื่อในพระองค์ ซึ่งอิสราเอลในตอนนั้นเขาเชื่อว่า เขาคือชนชาติที่พระเจ้าเลือก และ รู้จักพระเจ้า ชาวต่างชาติเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งไม่สมควรที่จะรู้จักพระเจ้าผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ 

 

 


คำว่า "ยิว" จึงน่าจะเริ่มมีการถูกเรียกกันในช่วงนั้น ซึ่งหมายถึงเป็นเชิงต่อต้านพวกอิสราเอลในด้านความเชื่อ สังคม และ อะไรหลาย ๆ อย่าง เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้บันทึกหรือเขียนคำว่ายิวเลย นอกจากคำว่า พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล หรือ ชนชาติฮีบรู คำว่ายิวนั้น มาจากพวกฮีบรูเผ่ายูดา [Judah tribe] ที่อาศัยอยู่แผ่นดินยูเดีย [Judea] แถวเยรูซาเลมก่อน อาณาจักรยูดาจะล่มสลาย

 

 

 


โรมเข้าถล่มเยรูซาเล็มจนพินาศ ทำให้ชาวอิสราเอลพลัดถิ่น

 

 


หลังจากโรมเข้าถล่มเยรูซาเล็มจนพินาศแล้ว ชาวอิสราเอลได้กระจัดกระจายไปสู่ในที่ต่าง ๆ ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ดาบจะไล่ตามหลังพวกยิว ส่วนดินแดนคานาอันแผ่นดินน้ำผึ้งและน้ำนมบริบรูณ์นี้จะแห้งแล้ง และถูกเปลี่ยนมือหลายครั้งไม่ว่า อาณาจักรโรม อาณาจักรคอนสแตนติน และกองทัพมุสลิมเข้ายึดครอง สงครามแย่งชิงแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะเป็นชาวยิว เช่น สงครามครูเสด ซึ่งแต่ละครั้งทำให้ชาวยิวต้องตกไปเป็นเชลย ต้องถูกฆ่า และต้องอพยพไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ ทั้งในยุโรป เอเชีย และทวีปอเมริกา แต่ชาวยิวก็ยังยึดมั่นในพันธสัญญาระหว่างพวกเขาและพระเจ้า ที่ว่า พระเจ้าจะนำพวกเขากลับไปยังดินแดนที่พระเจ้าเลือกไว้ คือ อิสราเอล

 

 


ชาวยิว ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว

 

 

ชาวยิวในประวัติศาตร์ได้รับความทุกข์ทรมารจากสงครามมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจากกองทัพบาบิโลน เปอร์เซีย กองทัพโรม สงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งที่สำคัญและโลกไม่สามารถลืมความโหดร้ายได้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยฮิตเลอร์และพรรคนาซี ซึ่งยิวถูกฆ่าไปทั้งหมด ประมาณ 6.6 ล้านคน

 

 

 

ในที่สุดความพยายามของชาวยิวที่จะก่อตั้งรัฐอิสระ ก็ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งในตอนนั้นอังกฤษมีอิทธิพลในดินแดนปาเลส์ไตน์ อนุญาตให้ชาวยิวให้กลับเข้าไปในปาเลสไตน์อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

 

 

 


ซึ่งก็คือประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน พวกเขาได้ใช้ข้อความในพระคัมภีร์ มาอ้างความเป็นเจ้าของ และเหตุนี้เองส่งผลให้ชนพื้นเมืองที่มีอยู่ก่อนคือ ชาวปาเลสไตน์และชาวอาหรับในละแวกนั้นไม่เห็นด้วย จนเกิดความรุนแรงทุกรูปแบบในการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งแผ่นดินแห่งนี้นั่นเอง

 

 

 


ที่น่าทึ่งคือพวกเขาก่อร่างสร้างเมือง เปลี่ยนทะเลทรายที่แห้งแล้งให้เป็นพื้นที่การเกษตรเขียวชะอุ่มตรงตามพระคำภีร์ไบเบิ้ลที่บอกว่าพวกเขาจะกลับมารวมชาติและทำให้ดินแดนนี้มีชีวิตอีกครั้ง ทุกวันนี้หนุ่มสาวชาวอิสราเอล ต่อสู้เพื่อปกป้องและขยายดินแดนไปอาณาจักรที่อยู่ใกล้เคียงหลายต่อหลายครั้งโดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา

 

 

แม้ในปัจจุบันก็ยังมีกรณีพิพาทในดินแดนฉนวนกาซ่าและเขตชายฝั่งตะวันตก (เวสแบงค์) ระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับ ซึ่งสหประชาชาติล้มเหลวอย่างสมบูรณ์ ทุกวันนี้ก็ยังหาข้อยุติ หรือจะเห็นสันติภาพยังนับว่าห่างไกลเหลือเกิน

 

 

รู้จัก "ยิว" ผ่าน "เวณิชวานิส" เรื่องเล่าพ่อค้าเงินกู้

 

 

และอีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจคุ้นเคยกับความทรงจำเกี่ยวกับชาวยิว ได้เป็นอย่างดี นั่นคือ "เวณิชวานิส" หนังสืออ่านนอกเวลา หนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ปัจจุบันมีรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย นั่งแท่นเจ้าของกระทรวง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง โดยถูกกำหนดไว้เป็นหลักสูตรวิชาภาษาไทย เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและพัฒนาการอ่านให้นักเรียนตั้งแต่ ป.1 -ม.6 

 

 

หนังสืออ่านนอกเวลา ที่คุ้นเคยกันดีส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเรื่องสั้น นวนิยาย ที่อ่านสนุก ให้แง่คิดและเนื้อหาดี เช่นเดียวกับ "เวณิชวานิส" บทประพันธ์บทละครของเชกสเปียร์ ซึ่งพระราชนิพนธ์แปลใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

 

 

สำหรับคนไทยแล้ว "เวณิชวานิส" ถือเป็นผลงานของเชกสเปียร์ที่รู้จักแพร่หลายที่สุด เป็นที่มาของคำกลอนไพเราะหลายบทหลายตอนที่เราซาบซึ้งกันดี และมีกลิ่นอายประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของยิว

 

 

ขณะที่ เนื้อหานั้นเป็นการเล่าเรื่องที่สะท้อนทุกยุคทุกสมัยได้ดี แม้ว่าจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และนายประกัน ที่บอกได้เลยว่า อ่านแล้วชวนให้สนุกอย่างมาก โดยมีตัวละครหลัก 

 

 

  • อันโตนิโย (Antonio) พ่อค้าวาณิชชาวเวนิสเพื่อนรักของบัสสานิโย ค้ำประกันเงินสามพันเหรียญให้บัสสานิโย เพื่อบัสสานิโยจะได้เดินทางไปเบลมอนต์
  • บัสสานิโย (Bassanio) เพื่อนรักของของอันโตนิโย ผู้หมายปองนางปอร์เชีย
  • ไชล็อก (Shylock) พ่อค้าชาวยิว คู่ปรับของอันโตนิโย ให้บัสสานิโยยืมเงินสามพันเหรียญ โดยมีอันโตนิโยเป็นนายประกัน
  • ปอร์เชีย (Portia) สาวงามผู้มีทรัพย์ ต่อมาได้แต่งงานกับบัสสานิโย และช่วยอันโตนิโยจากการฟ้องร้องของไชล็อก
  • เจสสิกา (Jessica) ลูกสาวของไชล็อก หนีตามลอเร็นโซชู้รักซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มมิตรสหายของอันโตนิโยและบัสสานิโย ทำให้ไชล็อกผู้พ่อแค้นเคืองเป็นอันมาก

 

 


และตัวละครที่ชวนให้น่าสนใจคงหนีไม่พ้นความฉลาดของนางปอร์เชีย ไม่ชอบใจพ่อค้า "ยิว" พ่อค้าเงินกู้อย่างไชล็อก ซึ่งเรื่องราวสอดแทรกการเรียกร้อง  ข้อพิพาท การตัดสินคดีทางกฎหมาย พร้อมเล่าถึงคู่ขัดแย้งเรียกร้องให้ใช้กฎหมายบังคับ แทนการปรองดองเลิกแล้วต่อกัน 

 

 


เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าได้เปรียบ แต่หากต่อเมื่อคำนวณผลได้ผลเสียของฝ่ายตนออกมาในภายหลังแล้วเห็นว่าตนจะเสียหายมากกว่า ก็เปลี่ยนใจเรียกร้องให้กลับไปใช้กระบวนการเจรจาแทน

 

 


จนทำให้นึกถึงความขัดแย้งระหว่าง อิสราเอล และปาเลสไตน์ ที่การสู้รบและการตกลงข้อพิพาทกันไม่ได้ หากเปลี่ยนใช้ "ใจ" ที่เป็นธรรม คงได้เห็นความขัดแย้งที่หายยากที่สุดของโลก หายวับสู่ความปรองดองแทน

 

 


ดังบทหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมาก

 

อันว่าความกรุณาปรานี    จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ    จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน

 

 

 

ข้อมูล : วิกิพีเดีย

 

ข่าวเกี่ยวข้อง :

 

 

 

--------------------

เกาะติดสถานการณ์โควิด-19  ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง