หมอโอภาส เผยอยู่ระหว่างประเมินฉากทัศน์โควิดหลังปีใหม่ ประสาน บขส.ตรวจ ATK ผู้โดยสาร

เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 และการประเมินช่วงปีใหม่ ว่า ขณะนี้ถือว่าสถานการณ์ดี แต่เข้าใกล้ปีใหม่คนทำกิจกรรมเยอะ ดังนั้น อย่างที่เราทราบกันดีว่าความเสี่ยงตัวเลขจะเพิ่มมันก็มีอยู่
นพ.โอภาส กล่าวว่า ส่วนการประเมินสถานการณ์หลักๆ ที่ยอมรับได้ เราไม่ได้จะดูแค่ตัวเลขติดเชื้ออย่างเดียว จะดูว่า 1.โรงพยาบาล (รพ.) รองรับผู้ป่วยที่อาการหนักไหวหรือไม่ ภาพที่เคยเห็นเตียงไอซียูเต็ม เตียงเต็มแบบนั้น รับไม่ได้ 2.ระบบสาธารณสุขรองรับผู้ติดเชื้อได้ เช่น ผู้ที่อาการไม่หนัก คนป่วยไม่ล้น และ 3.อัตราเสียชีวิตไม่สูงพุ่งมาก ทั้งนี้ เราเคยทำโพลสำรวจประชาชนว่ารับได้กับสถานการณ์อย่างไร เรามีตัวเลขอยู่ แต่เรากำลังจะทำใหม่อีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากหลังปีใหม่ไปแล้ว แต่ตัวเลขติดเชื้อไม่เพิ่มขึ้นสูง เราสามารถคาดฉากทัศน์การระบาดได้อย่างไรบ้าง นพ.โอภาส กล่าวว่า ขณะนี้ กำลังคำนวณการระบาดรอบใหม่แล้วว่า หลังปีใหม่การระบาดจะเป็นอย่าง เป็นแบบจำลองอันใหม่ เพื่อให้ประชาชนเห็นภาพ และใส่ในการอ้างอิงสถานการณ์ แต่ต้องใช้เวลาในการใส่ตัวแปรเข้าไป คาดว่าสัปดาห์หน้าจะแล้วเสร็จ
เมื่อถามถึงคำแนะนำสำหรับประชาชน หากจะเดินทางกลับบ้าน/ภูมิลำเนา นพ.โอภาส กล่าวว่า คำแนะนำตอนนี้ หากโดยสารด้วยรถสาธารณะ ทาง สธ.กำลังประสานกับกระทรวงคมนาคม กับ บขส. ว่า หากรถขนส่งสาธารณะ ที่ต้องนั่งนานเกิน 4 ชั่วโมงขึ้นไป ควรมีการตรวจ ATK ผู้โดยสารก่อนขึ้นรถทุกคน ขณะเดียวกัน พนักงานจะต้องตรวจอยู่แล้วตามมาตรการ
เมื่อถามต่อไปว่า จะต้องตรวจใบรับรองการฉีดวัคซีนด้วยหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ตรวจด้วย ซึ่งเป็นพื้นอยู่แล้วว่า ฉีด 2 เข็มก็มีความปลอดภัย
ต่อข้อถามถึงมาตรการที่อาจจำกัดเฉพาะผู้ได้รับวัคซีนเข้าร่วมเท่านั้น นพ.โอภาส กล่าวว่า หากทางภาครัฐ หรือ ศบค. ออกมาบังคับก็อาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติได้ แต่หากเอกชนดำเนินการเอง เช่น เจ้าของร้าน อยากสร้างความปลอดภัยให้ร้าน ผู้ใช้บริการอื่นๆ แล้วจะกำหนดในเรื่องต่างๆ ก็เป็นสิทธิของทางร้าน ซึ่งบังคับได้ง่ายกว่า
“เข้าใจว่าตอนนี้เรื่องการฉีดวัคซีนเข้าสถานที่ต่างๆ ในต่างประเทศทำเยอะ มีความยอมรับของประชาชน แต่หากเราออกกฎหมายบังคับจะมีผลในภาคปฎิบัติ ดังนั้น ถ้าเอกชนทำเอง แล้วรัฐสนับสนุน เช่น การตรวจ ATK ให้สะดวกและง่ายขึ้น” นพ.โอภาส กล่าว
เมื่อถามว่า หากมีการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนในประเทศไทย จะมีผลกระทบต่อมาตรการช่วงปีใหม่หรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า สายพันธุ์โอไมครอน กระจายไปทั่วโลก ดังนั้น โอกาสจะเจอในไทยมากขึ้น ก็เป็นไปได้ เพราะมีคนเดินทางเข้าไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราตรวจจับได้ ซึ่งตอนนี้เรายังเจอการนำเข้าจากต่างประเทศ เราก็ควบคุมไม่ให้เกิดระบาดวงกว้าง ดังนั้น ความร่วมมือประชาชนสำคัญมาก
“ส่วนมาตรการหากพบโอไมครอนก็เหมือนสายพันธุ์อื่น ถ้าไม่รุนแรงมาก ก็ยอมรับได้ เรากังวลเรื่อง คนไข้ล้น รพ. ไอซียู รักษาไม่ไหว แต่ถ้าระดับที่รักษาคนไข้ได้ คนไข้ไม่ล้น รพ. ส่วนกิจการต่างๆ สังเกตได้ว่า หลายประเทศก็ไม่ได้ปิดประเทศแล้ว ส่วนประเทศที่เคยปิดก็กลับมาเปิดแล้ว หลายประเทศเชื่อว่ามาตรการปิดประเทศไม่ส่งผลดี ปิดๆ เปิดๆ ดังนั้น ปิด 100% คงไม่ได้ แต่เปิดหมดก็ไม่ได้” นพ.โอภาส กล่าว
ทั้งนี้ นพ.โอภาส กล่าวว่า มาตรการสำคัญคือการฉีดวัคซีนป้องกัน รวมถึงเข็มที่ 3 มาตรการโควิด ฟรี เซ็ตติ้ง ทุกคนร่วมมือกันปฏิบัติตามคำแนะนำ