รีเซต

“ย้อนมหาภัยพิบัติไทย” จากไต้ฝุ่นถึงน้ำท่วม 68 สะท้อนโลกร้อนทวีความรุนแรง

“ย้อนมหาภัยพิบัติไทย” จากไต้ฝุ่นถึงน้ำท่วม 68 สะท้อนโลกร้อนทวีความรุนแรง
TNN ช่อง16
28 พฤศจิกายน 2568 ( 12:10 )

มหาอุทกภัยภาคใต้ปี 2568 เป็นสัญญาณเตือนอีกครั้งว่า ภัยพิบัติกำลังทวีความรุนแรง และมาเร็วกว่าที่คาดไว้ สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมหาศาล


ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสี่ยงเผชิญภัยพิบัติรุนแรงต่อเนื่อง ในอดีตเราก็เคยเผชิญเหตุการณ์ภัยพิบัติหลายรูปแบบที่สร้างความสูญเสียมหาศาล


เราจะพาย้อนดูมหาภัยพิบัติเหล่านั้น ว่ามีเหตุการณ์ใดบ้างที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนไทย 


“พายุไต้ฝุ่นเกย์” มหาวาตภัยถล่มชุมพร


มหาภัยพิบัติที่คนไทยหลายคนยังจำได้ไม่เคยลืมคือ “พายุไต้ฝุ่นเกย์” ถล่มชุมพร ปี พ.ศ. 2532 


พายุหมุนก่อตัวจากหย่อมความกดอากาศต่ำ กำลังแรงในทะเลจีนใต้ตอนล่าง เคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวไทย ก่อนทวีความรุนแรงเร่งความเร็วลมสูงสุดเป็น 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วพัดขึ้นฝั่งบริเวณอำเภอปะทิว อำเภอท่าแซะ และอำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2532 


ผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นเกย์ก่อให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือน ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนจังหวัดชุมพรอย่างหนัก ทั้งยังกระทบต่อจังหวัดใกล้เคียงตามชายฝั่งอ่าวไทย และชายฝั่งทะเลตะวันออก


กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตถึง 529 คน ทรัพย์สินเสียหายราว 7,453 ล้านบาท ถือเป็นมหันตภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประเทศไทยในขณะนั้น

มหาอุทกภัย 2554 ภัยพิบัติทางน้ำครั้งประวัติศาสตร์


หากยังจำกันได้ดี ไทยก็ยังเผชิญกับมหาอุทกภัย 2554 ที่ถือได้ว่า เป็นภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศมหาศาล 


มหาอุทกภัย 2554 ถูกกล่าวขานว่าเป็นภัยพิบัติทางน้ำที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 70 ปี ทั้งในแง่ของปริมาณน้ำและจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ เพราะประเทศไทยต้องเจอเหตุการณ์น้ำท่วมหลายเดือน 


สาเหตุหลัก คือปริมาณฝนที่สูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ ลานีญา ที่เริ่มก่อตัวตั้งแต่ปี 2553 และดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงกลางปี 2554 ทำให้ไทยมีฝนตกมากกว่าปกติ รวมถึงได้รับผลกระทบจากพายุจำนวน 5 ลูกที่เคลื่อนตัวจากทะเลจีนใต้เข้าสู่ประเทศไทย


ส่งผลให้เขื่อนทั่วประเทศรับน้ำในปริมาณมหาศาล ไม่สามารถระบายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กอปรกับแทบทุกลำน้ำของประเทศมีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่มีปริมาณน้ำมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้ไทยต้องเผชิญกับน้ำท่วมยาวนานหลายเดือน 


กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานความเสียหายจากมหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์นี้ โดยมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น 74 จังหวัด ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 16 ล้านคน เสียชีวิต 1,026 ราย บ้านเรือนเสียหายเกือบ 5 แสนหลัง


ขณะที่ สำนักงานลดความเสี่ยงภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDRR ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 1.44 ล้านล้านบาท หรือราว 4.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 12.6% ของ GDP ประเทศ


เหตุการณ์นี้ ยังถือว่าเป็นภัยพิบัติจากน้ำท่วมที่สร้างความเสียหายสูงสุดเท่าที่อุตสาหกรรมประกันภัยทั่วโลกเคยบันทึกไว้ 

“โลกร้อน” ทำภัยพิบัติรุนแรงขึ้น 


ผ่านมาหลายสิบปี ไทย รวมถึงหลายประเทศทั่วโลก ยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามที่เพิ่ม และรุนแรงขึ้นจากฝนตก น้ำทะเลหนุนสูง, น้ำท่วม และภัยแล้ง 


สิ่งเหล่านี้ เป็นผลกระทบจากสิ่งที่เราเรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” หรือ “Climate Change” 


รายงานใหม่จาก 2 สถาบันวิจัยนานาชาติ ได้แก่ Global Carbon Project และ Climate Action Tracker ชี้ว่า โลกยังคงมุ่งหน้าสู่ “วิกฤตโลกร้อนระดับหายนะ” ที่อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นถึง 2.6 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้ 


แม้ประเทศต่าง ๆ จะยื่นแผนลดคาร์บอนรอบใหม่ในการประชุม COP30 ที่บราซิล แต่การปล่อยก๊าซจากเชื้อเพลิงฟอสซิลกลับทำ สถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนว่า ความพยายามของมนุษยชาติยังไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก


ขณะที่ รายงานจาก UNDP เผยว่า เกือบทุกพื้นที่ในประเทศไทยมีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นทุกปี ส่งผลให้เสี่ยงต่อน้ำท่วมฉับพลันและภัยธรรมชาติที่จะเกิดจากอุทกภัยอีกหลายชนิด 


สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงยังสร้างความเสียหายสะสมต่อภาคการเกษตรไทย ระหว่างปี 2554-2588 สูงถึง 17,912 ถึง 83,826 ล้านบาทต่อปี 


7 เมืองเอเชีย เสี่ยงจมน้ำ


ผลกระทบจาก Climate Change สะท้อนออกมาให้เราเห็นผ่านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่สุดขั้ว หากโลกไม่สามารถหยุดยั้ง หรือ ร่วมมือกันเพื่อบรรเทาปัญหานี้ได้ อีกไม่นาน จะมีหลายเมืองบนโลกที่ต้องจมอยู่ใต้บาดาลแทน 


ข้อมูลจาก Greenpeace ระบุว่า เมืองชายฝั่งทั่วเอเชียกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่มากขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและพายุโซนร้อนที่เข้มข้นมากขึ้น 


โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 จะมี 7 เมืองเอเชียที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและตั้งอยู่บนชายฝั่งเสี่ยงจมน้ำ ดังนี้ 

  1. กรุงเทพฯ ไทย ถูกจัดเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความเสี่ยงสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีประชากรเสี่ยงภัยสูงถึง 10 ล้านคน หากไม่มีการแก้ไขปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดินและการสูบน้ำบาดาลอย่างจริงจัง มีความเป็นไปได้ที่ กรุงเทพฯ ในอนาคตทั้งหมดอาจจะจมอยู่ใต้ทะเล

  2. จาการ์ตา อินโดนีเซีย ถูกคาดการณ์ว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองอาจจมอยู่ใต้น้ำอย่างถาวร ภายในปี 2050 เนื่องจากมีอัตราการทรุดตัวของแผ่นดินที่เร็วที่สุดในโลก โดยบางพื้นที่ทรุดตัวถึง 20-25 เซนติเมตรต่อปี

  3. ฮ่องกง จีน จำนวนเฉลี่ยของพายุหมุนเขตร้อนที่ส่งผลกระทบต่อฮ่องกงอยู่ระหว่าง 5-7 ลูกต่อปี พายุหมุนเขตร้อนทำให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง และเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดในอดีตทำให้ระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับน้ำขึ้นน้ำลงมากกว่า 3 เมตร

นอกจากนี้ ยังมีกรุงโตเกียว ญี่ปุ่น, กรุงโซล เกาหลีใต้, กรุงไทเป ไต้หวัน และกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ ที่เสี่ยงจะได้รับผลกระทบคล้ายคลึงกัน สร้างความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจ และชีวิตผู้คนเป็นวงกว้าง


แหล่งข้อมูลอ้างอิง: 


https://tiwrmdev.hii.or.th/current/2011/flood54.html

https://www.undp.org/stories/greenhouse-emissions-thailand-th

https://www.ryt9.com/s/bot/1317095

https://www.preventionweb.net/news/assessing-and-managing-disaster-risks-financial-sector-thailand

https://www.swissre.com/risk-knowledge/mitigating-climate-risk/decade-on-thailand-devastating-2011-floods.html

https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_3913

https://www.finearts.go.th/chumphonmuseum/view/37000-%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%9D%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD-%E0%B8%9E-%E0%B8%A8--2532

https://www.greenpeace.org/thailand/publication/20217/climate-asia-cities-sea-level-rise-report-th/

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง