ราคาทองคำไปต่อไหม ! หลังพักฐาน แนวโน้มปีหน้าจะเป็นอย่างไร

ราคาทองคำปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 หลังแรงหนุนแผ่ว ทั้งเรื่องสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐคลี่คลาย ขณะที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณความไม่แน่นอนว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมธ.ค.นี้หรือไม่ หลังจากเดือนต.ค. ที่ผ่านมาได้ลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 3.75-4% ไปแล้ว
นอกจากนี้ราคาทองคำ Gold Spot ร่วง 0.6% อยู่ที่ระดับ 3,978 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในช่วงเช้าวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากที่จีนยุติมาตรการลดหย่อนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ที่บังคับใช้มาอย่างยาวนานให้กับผู้ค้าปลีกทองคำบางราย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของผู้ค้าปลีกเพิ่มขึ้น และความต้องการทองคำในประเทศลดลง
แต่หลังจากนั้นราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยในวันที่ 6 พ.ย. จากความกังวลเกี่ยวกับการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ หรือภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนาน และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของภาษีศุลกากร โดย Gold Spot เพิ่มขึ้น 0.2% อยู่ที่ 3,989.91 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เหตุค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 0.3% หลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนในการซื้อขายก่อนหน้า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลง 1.3%
โดยสถานการณ์ปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อส่งผลให้การเผยแพร่รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนต้องล่าช้า ทำให้นักลงทุนหันไปพึ่งข้อมูลจากภาคเอกชนแทน เพื่อประเมินความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้หรือไม่ ขณะที่ เฟด FedWatch ของ CME Group ชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 66% ต่อคาดการณ์ที่ว่าเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. จากเดิมที่ให้น้ำหนัก 85.2%
สำหรับทิศทางทองคำสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร และการปรับตัวลงของราคาทองคำใกล้จุดสิ้นสุด เพื่อไปต่อแล้วหรือยัง นักลงทุนจะต้องปรับพอร์ตการลงทุนอะไรบ้าง ในช่วงความผันผวนที่เกิดขึ้น และแนวโน้มในปีหน้าทองคำยังจะวิ่งฉิวอยู่หรือไม่ ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก “วรุต รุ่งขํา” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ฉายภาพให้ฟังว่า ราคาทองคำตั้งแต้นปีจนถึงปัจจุบัน Gold Spot ปรับขึ้นไปแล้ว 53% ทองแท่ง 96.5% ปรับขึ้น 45% หรือประมาณ 18,850 บาท แม้ว่าในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาลงประมาณ 20-25% แต่ตลาดมองว่าเป็นการพักฐานระยะสั้น หลังจากขึ้นร้อนแรงมาก่อนหน้านี้
ซึ่งเชื่อว่าราคาจะลงต่อไม่มากนัก หลังจากตลาดซึมซับข่าวไปก่อนหน้านี้ ถ้าไม่มีปัจจัยลบด้านอื่นมากดดัน เพราะปัญหาสงครามทางการค้าคลี่คลาย ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ลดลง ขณะที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศเจรจาสงบศึกกับ ประธานาธิบดีรัสเซีย “วลาดิมีร์ ปูติน” เรื่องยูเครน
ขณะที่การประชุมเฟดในเดือนธ.ค. เริ่มเห็นสัญญาณว่าอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.นี้ และตลาดรับรู้ข่าวมาแล้ว แม้ว่าการตรึงดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นปัจจัยกดดันทองคำ
ดังนั้นมองว่าถ้าทองคำไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ จากสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 3,887 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์จะเป็นการสร้างฐานเพื่อไปต่อ แต่ถ้าหลุดแนวถัดไปจะอยู่ที่ 3,870 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และแนวรับต่อมาจะอยู่ที่ 3,687 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากที่จะลงแรงขนาดนั้น เนื่องจากปัญหา ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ ยังไม่ได้ข้อยุติ ตลาดรอดูว่าผล การเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครต-รีพับลิกันจะตกลงได้วันไหน คาดว่าสภาฯจะปิดสมัยการประชุมในวันที่ 21 พ.ย.นี้ และเหลือเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น นักลงทุนต้องติดตามข่าวสารใกล้ชิด เพราะถ้าตกลงกันได้ด้วยดีราคาทองจะปรับตัวลงอีกรอบ
นอกจากนี้ผลกระทบจาก Government shutdown ที่ยืดเยื้อจะส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะชะลอตัวลง คนว่างงานเพิ่ม เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ทำการปรับโครงสร้างพนักงานให้เหมาะสมกับยุคของ AI ที่กำลังมีการขยายตัว และจากข้อมูลของ Challenger, Gray & Christmas ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการจ้างงานระบุว่า
บริษัทในสหรัฐประกาศแผนเลิกจ้างพนักงาน “มากที่สุดในรอบกว่า 20 ปี” ในเดือนต.ค. มีจำนวนรวม 153,074 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นถึง 183% จากเดือนก.ย. และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 175% ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2546 โดยบริษัทเทคโนโลยีประกาศปลดพนักงาน 33,281 ตำแหน่งในเดือนต.ค. มากกว่าเดือนก.ย.เกือบ 6 เท่า
โดยรวมแล้ว ในปีนี้ บริษัทต่าง ๆ ได้ประกาศปลดพนักงานรวมกว่า 1.1 ล้านตำแหน่ง เพิ่มขึ้น 65% จากปี 2567 และเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในตลาดแรงงานอาจเป็นปัจจัยบวกต่อทองคำอีกรอบ
ขณะเดียวกันตลาดจับตาการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ หลังดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนกลับมาเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นในธุรกิจ AI ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าหุ้นดังกล่าวมีมูลค่าที่สูงเกินจริงและอาจเผชิญกับภาวะฟองสบู่ นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่พยุงทองคำไม่ให้ปรับตัวลงมากนัก
ส่วนกรณีที่ศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้เปิดฉากการไต่สวน “ทรัมป์” ในวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมาเกี่ยวกับมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หลังศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยก่อนหน้านี้ให้เพิกถอนมาตรการภาษีส่วนใหญ่ โดยเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977 นั้น ยังต้องรอผลการตัดสินของศาล ถ้าหากผลลัพธ์ออกมาว่า “ทรัมป์” ต้องคืนเงินให้กับประเทศต่าง ๆ หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็จะเป็นแรงส่งทองคำให้กลับมาฟื้นตัว แต่ถ้าผลออกมาตรงข้ามเข้าข้าง “ทรัมป์” ว่าทำถูกต้องก็จะเป็นแรงกดดันทองคำ
“การที่ทองคำจะขึ้นไปยืน All time high เดิม Gold Spot อยู่ที่ 4,381 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 67,700 บาท เป็นเรื่องที่ยาก และในสิ้นปีนี้ยังไม่เห็นทองคำแท่งขึ้นไปแตะที่ 70,000 บาท เพราะปัจจัยหนุนยังไม่ได้มีเพิ่ม แต่แนวโน้มในปีหน้า ทองคำยังเป็นช่วงขาขึ้น จากแนวโน้มคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 69 ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ และธนาคารกลางทั่วโลกยังใช้ทองคำเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศอาจทำให้ราคาทองแท่งไปที่ระดับ 70,000 บาท ”
อย่างไรก็ตาม ถ้าราคาทองคำสามารถขึ้นไปยื่น 4,058 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้จะไปต่อ 4,158 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 62,400-63,900 บาท หากไม่ผ่านให้แบ่งขายทำกำไรออกมาบางส่วน และเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว โดยให้แนวรับอยู่ที่ 3,887 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แนวรับถัดไปที่ 3,831 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งอยู่ที่ 58,900-59,700 บาท
ฝั่ง "อารีรัตน์ มุราชัย" หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เล่าว่า แม้ว่าปัจจัยบวกที่หนุนราคาทองคำเริ่มหมดลง แต่ตลาดยังจับตา Government shutdown สหรัฐฯ ว่าจะได้บทสรุปเมื่อไหร่ โดยล่าสุดสนามบินทั่วสหรัฐต้องพบกับความโกลาหลอย่างหนักเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อสายการบินทั่วประเทศเริ่มทยอย "ยกเลิกเที่ยวบิน" มากกว่า 1,200 เที่ยวบิน หลังจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) มีคำสั่งลดเที่ยวบินลง เนื่องจากภาวะ "ชัตดาวน์" ของรัฐบาลที่ยืดเยื้อมานานกว่าหนึ่งเดือน และทุบสถิติยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐไปแล้ว
โดยคำสั่งลดเที่ยวบินมีขึ้นเนื่องจากเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศไม่ได้รับเงินเดือน ตลอดช่วงที่รัฐบาลปิดทำการจากภาวะชัตดาวน์ การขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการบินส่งผลให้เที่ยวบินตามสนามบินหลักๆ ของสหรัฐเกิดความล่าช้า และสร้างความเดือดร้อนทั้งต่อผู้โดยสารและผู้บริหารสายการบิน ซึ่งเป็นปัจจัยที่หนุนทองคำ แต่ต้องระวังหากพรรคเดโมแครต-รีพับลิกันตกลงกันได้เมื่อไหร่ราคาทองคำจะปรับตัวลง
ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมายอมรับว่าทองคำไม่สามารถผ่านแนวต้าน 4,040 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ไปได้ โดยแนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ 3,850-4,160 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่หนุน และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการก็ยังไม่มี เพราะจากปัญหาชัตดาวน์ที่ยาวนาน ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นก็ยังเป็นช่วงพยุงราคาทองคำในช่วงนี้ไม่ให้ลงลึก
ทั้งนี้เห็นว่าแนวรับสำคัญอยู่ที่ 3,850 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งจะอยู่ที่ 59,000 บาท ถ้าหลุดอาจจะไปที่ 3,820 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งจะอยู่ที่ 58,500 บาท ซึ่งนักลงทุนที่มีทองคำอยู่แล้วยังไม่อยากให้ซื้อเพิ่มเติม ให้รอดูสถานการณ์ก่อน เพราะเชื่อว่าที่ผ่านมามีคนเข้าซื้อมากแล้วและรอจังหวะขาย แต่ถ้าเห็นสัญญาณการฟื้นตัวถึงค่อยเข้ามาซื้อ เพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น ประเมินแนวต้านแรกที่ 4,040 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 61,800 บาท แนวต้านถัดไปที่ 4,160 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 63,600 บาท
สำหรับทิศทางทองคำในปีหน้า เชื่อว่าทองคำยังไปต่อ จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่วาณิชธนกิจอย่าง โกลด์แมน แซคส์" คาด "ราคาทองโลก" วิ่งถึง 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในเดือน ธ.ค. 2569 เป็นผลมาจากความตึงเครียดทางการเมืองทั่วโลก ปัจจัยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมถึงเงินดอลลาร์สหรัฐที่ทยอยอ่อนค่าลง ได้เพิ่มแรงดึงดูดให้กับสินทรัพย์ Safe Heaven อย่างทองคำ
นอกจากนี้ เงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำในภูมิภาคตะวันตกอย่างต่อเนื่อง และธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ Emerging Markets ได้เข้าซื้อสะสมทองคำเพิ่มขึ้น เพื่อกระจายสินทรัพย์สำรอง (Reserve Diversification) แทนการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐก็ยังเป็นแรงหนุนทองคำในอนาคต
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
