สำเร็จครั้งแรกของโลก ปลูกตากระจกตาพิมพ์ 3 มิติ คืนการมองเห็นให้กับผู้ป่วย

ศูนย์การแพทย์แรมแบม (Rambam Medical Center) ในเมืองไฮฟา ของอิสราเอล ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาที่พิมพ์โดยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ให้กับหญิงวัย 70 ปี ทำให้เธอสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง 

ก่อนหนานี้ เราอาจจะเคยได้ยินการคิดค้นนวัตกรรม หรือเทคโนโลยี สร้างกระจกตาเทียม เพื่อคืนการมองเห็นให้กับผู้ป่วยมาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นของการวิจัย และยังไม่ถูกนำมาใช้กับคนไข้จริง นี่จึงถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ทำสำเร็จ และช่วยให้ผู้ป่วยที่ตามองไม่เห็นแล้ว สามารถกลับมองให้ได้

นวัตกรรมนี้พัฒนาโดยบริษัท Precise Bio ของอิสราเอล พิมพ์กระจกตาจากเซลล์มนุษย์ และนำไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยที่ตาบอดจากปัญหากระจกตาในตาข้างหนึ่ง

ความสำเร็จในครั้งนี้กลายเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่และความหวังในการช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนกระจกตาบริจาค ปัจจุบันมีผู้คนมากกว่า 13 ล้านคนทั่วโลกที่รอการปลูกถ่ายกระจกตา เพราะกระจกตาบริจาคขาดแคลนอย่างมาก แต่เทคโนโลยีใหม่นี้ช่วยให้สามารถผลิตกระจกตาหลายร้อยชิ้นจากตัวอย่างเซลล์ผู้บริจาคเพียงชิ้นเดียว ถือเป็นทางออกที่ทำได้จริง และทำในสเกลที่ใหญ่มากด้วย

แอรี่ แบรตต์ ซีอีโอของ Precise Bio กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่มีการใช้กระจกตาซึ่งสร้างขึ้นทั้งหมดในห้องแล็บกับคนจริง นี่อาจเรียกได้ว่า เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เลยก็ว่าได้

กระจกตาที่พิมพ์ขึ้นถูกสร้างด้วยส่วนผสมของวัสดุชีวภาพและเซลล์มนุษย์ เพื่อเลียนแบบโครงสร้างและการทำงานของกระจกตาตามธรรมชาติ และยังต่างจากกระจกตาสังเคราะห์หรือกระจกตาบริจาคทั่วไป เนื่องจากกระจกตาพิมพ์ 3 มิติจากห้องแล็บ ทั้งสะอาด ปราศจากสารปนเปื้อน และมีความหนาแน่นของเซลล์สูง ซึ่งอาจช่วยให้แผลหายดีขึ้นและการมองเห็นชัดขึ้นในระยะยาว 

นอกจากนี้ ยังมีระบบตรวจสอบคุณภาพขั้นสูง และช่วยให้แพทย์คาดการณ์ผลการผ่าตัดได้แม่นยำขึ้น

ทีมนักวิจัย วิศวกร และแพทย์ วิจัยและค้นคว้ากระจกตาเทียมนี้มากว่า 10 ปี จนสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนทีละชั้น จนได้กระจกตาที่ได้สามารถเลียนแบบคุณสมบัติสำคัญของเนื้อเยื่อมนุษย์ ทั้งความใสและความแข็งแรง ซึ่งสำคัญต่อผลลัพธ์ระยะยาว พร้อมช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

ส่วนผู้ป่วยวัย 70 ปี ตาข้างบอดไป จากการเสื่อมของกระจกตาตามวัย ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งการผ่าตัดเป็นไปด้วยดี และการมองเห็นของผู้ป่วยเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ทีมแพทย์ยังคงติดตามอาการอย่างใกล้ชิด