ย้อนรอยความสัมพันธ์ไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี มิตรภาพเหนือกาลเวลา

ความสัมพันธ์ตั้งแต่สมัยโบราณ ย้อนกลับไปนานกว่า 2,200 ปี
ไทยและจีนเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ สามารถย้อนกลับไปได้ไกลถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก หรือในรัชสมัยของจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ หรือประมาณ 2,200 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งจีนได้ส่งทูตมาทางเรือสำเภาเพื่อติดต่อกับหลากหลายอาณาจักรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการติดต่อในช่วงแรกเป็นการติดต่อเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากัน ยังไม่ได้เป็นการสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ จนกระทั่งในสมัยที่ราชวงศ์หยวนของเผ่ามองโกลในจีน ขึ้นครองอำนาจซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัยของไทย จีนได้ส่งทูตเข้ามาติดต่อกับอาณาจักรเสียน ซึ่งหมายถึงไทยในขณะนั้น ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีการบันทึกเรื่องราวการติดต่อระหว่างจีนและไทยเป็นครั้งแรก ในพงศาวดารของจีน ในปี พ.ศ. 1825
บทความที่เผยแพร่โดย สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนสมัยโบราณ เปิดเผยรายละเอียดของการติดต่อและการสานสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ในสมัยโบราณไว้ว่า พ่อขุนรามคำแหงแห่งอาณาจักรสุโขทัยได้ส่งคณะทูตไปยังจีนครั้งแรก ใน พ.ศ. 1835 และส่งคณะทูตพร้อมเครื่องบรรณาการไปยังจีนรวมทั้งสิ้น 14 ครั้ง ระหว่างปี พ.ศ. 1835 จนถึงปี พ.ศ. 1865 ส่วนจีนได้ส่งคณะทูตมายังสุโขทัย 4 ครั้ง ซึ่งในช่วงเวลานี้ การค้าระหว่างสองประเทศเริ่มขยายตัว รวมทั้งการแลกเปลี่ยนงานศิลปะและวัฒนธรรมระหว่างกัน
ความสัมพันธ์ในช่วงนี้ระหว่างไทยกับจีนในสมัยโบราณ เป็นไปในลักษณะที่เรียกว่า “ระบบบรรณาการเพื่อการค้า” เนื่องจากจีนในสมัยโบราณมองว่าประเทศตัวเองเป็นศูนย์กลางของอำนาจ ประเทศอื่น ๆ จึงต้องส่งเครื่องบรรณาการแก่จักรพรรดิจีน เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ทางการเมืองและการค้า
เมื่ออาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจ กรุงศรีอยุธยาได้ส่งคณะทูตไปจีนเพื่อสานสัมพันธ์ด้านการค้าต่อ โดยในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 1914 ถึงปี พ.ศ. 2309 มีคณะทูตจากกรุงศรีอยุธยาไปจีนประมาณ 130 ครั้ง ส่วนจีนซึ่งในช่วงนั้นอยู่ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ซิง ได้ส่งทูตมากรุงศรีอยุธยา 17 ครั้ง รวมทั้งกองเรือของนายพลเจิ้งเหอ ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “ซำเปากง” ที่ล่องเรือมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมาถึงกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 1951 ซึ่งครั้งนั้น เริ่มมีชาวจีนจำนวนหนึ่งที่เดินทางมากับกองเรือ เข้ามาตั้งรกรากในกรุงศรีอยุธยา การค้าระหว่างกรุงศรีอยุธยาและจีนเริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรือง
ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศไทยและจีนยังคงสานสัมพันธไมตรีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในสมัย 4 รัชการแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ไทยได้ส่งทูตไปจีนรวมทั้งสิ้น 56 ครั้ง การค้ากับจีนสร้างความมั่งคั่งให้กับไทยอย่างมาก ไทยได้ส่งคณะทูตไปจีนเป็นครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2396 ซึ่งถือว่าเป็นปีสุดท้ายของการส่งบรรณาการเพื่อการค้า และถือได้ว่าเป็นจุดสิ้นสุดความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนในสมัยโบราณ ก่อนที่จะเข้าสู่ความสัมพันธ์ทางการทูตยุคใหม่
ความสัมพันธ์ยุคใหม่ จับมือฟันฝ่าวิกฤต พิสูจน์มิตรภาพ
หลังจากสิ้นสุดความสัมพันธ์ในยุคโบราณ ชาวจีนยังคงอพยพเข้ามาอาศัยและตั้งรกรากในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาความไม่สงบในช่วงสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะชาวจีนที่อาศัยอยู่ทางภาคใต้ เช่น กวางตุ้ง ไห่หนาน ฝูเจี้ยน ที่หลบหนีภัยสงครามและความอดอยากเข้ามาสร้างชีวิตใหม่ในประเทศไทย ในช่วงนี้ แม้ไทยและจีนจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ด้านการทูตกันอย่างเป็นทางการ แต่จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง คนจีนที่เข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ มีงานทำ สร้างครอบครัว และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย โดยชาวจีนกลายเป็นพลังที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศไทยระหว่างนั้น
หลังสงครามเมืองในจีนสิ้นสุดลง พรรคคอมมิวนิสต์ได้ประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 ด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ทำให้ไทยและจีนไม่ได้เริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันในทันที ไทยและจีนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518
หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยในเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2521 เติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของจีนในเวลานั้นได้เดินทางมายังประเทศไทย และได้เข้าร่วมพระราชพิธีผนวชของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร หรือรัชกาลที่ 10 ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้คนไทยรู้จักประเทศจีนสมัยใหม่มากขึ้น
ในช่วงนั้น ไทยและจีนยังมีจุดยืนเดียวกันเรื่องการต่อต้านภัยคุกคามจากเวียดนามและสหภาพโซเวียต โดยไทยกลัวเวียดนามจะยึดไทยหลังจากยึดกัมพูชา รัฐบาลไทยจึงสานสัมพันธ์กับจีน ทำให้จีนมีบทบาทร่วมกับไทยเพื่อผดุงสันติภาพในภูมิภาคนี้ ด้วยการต่อต้านเวียดนามและสหภาพโซเวียตที่พยายามขยายอิทธิพลครอบงำภูมิภาคทั้งหมด
ตั้งแต่เปิดความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี พ.ศ. 2518 จีนกับไทยเคารพซึ่งกันและกันทางการเมืองมาโดยตลอด ไม่แทรกแซงกิจการภายในและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เดินตามหนทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับสภาพบ้านเมืองของตน ทําให้ทั้งคู่ที่เป็นมิตรต่อกันและอำนวยประโยชน์แก่กั น แม้จะมีระบบสังคมและการปกครองที่แตกต่างกัน
เมื่อไทยเผชิญกับความยากลำบากและความท้าทายต่าง ๆ ไม่ว่าวิกฤตการเงินเอเชียหรือสถานการณ์โควิด-19 ทั้งสองประเทศได้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เผื่อฟันฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน ในช่วงการระบาดของโควิด จีนได้ส่งวัคซีนป้องกันโควิดให้ประเทศไทยมากกว่า 4,500,000 โดส เพื่อสนับสนุนรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนให้แน่นแฟ้นมากขึ้นไปอีก
ในด้านความมั่นคง ไทยกับจีนมีความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่มีความใกล้ชิดและตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการการเคารพซึ่งกันและกัน และการไม่แทรกแซงในกิจการภายใน ซึ่งไทยกับจีนได้ยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” (Comprehensive Strategic Partnership) เมื่อเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2555 ซึ่งไทยและจีนได้กระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงมาโดยตลอด และในช่วงหลัง ๆ ไทยและจีนได้เพิ่มความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย ในเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์และการพนันออนไลน์ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสองประเทศ
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ มุ่งหน้าสู่อนาคตร่วมกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไทยกับจีนมีความร่วมมือระหว่างกันหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านการค้า และด้านวัฒนธรรม ในด้านการค้า ไทยนับเป็นประเทศแรกๆ ที่เข้าไปลงทุนในจีนตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2522 มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีน เพิ่มขึ้นจากปีแรกที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอยู่ที่ 25 ล้านดอลลาร์ และเพิ่มขึ้นเป็น 126,300 ล้านดอลลาร์ ในปี พ.ศ. 2566 และจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยติดต่อกัน 12 ปี
การลงทุนของจีนในประเทศไทยก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จีนเป็นประเทศที่ลงทุนในไทยมากที่สุดติดต่อกัน 3 ปีแล้ว ซึ่งเป็นการลงทุนในภาคธุรกิจที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมใหม่ เช่น โลจิสติกส์ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งก็สอดคล้องกับยุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาหกรรมเกิดใหม่ของไทย
ส่วนอุตสาหกรรมหลักที่ไทยลงทุนในจีนคือ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ธัญพืช ฟาร์มสัตว์ มอเตอร์ไซค์ โรงแรม ร้านอาหาร การนวดแผนไทย ซึ่งการลงทุนระหว่างกันทำให้ทั้งสองประเทศได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญระหว่างกัน โดยไทยนับเป็นประเทศแรก ๆ ที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีน นับตั้งแต่จีนเริ่มเปิดประเทศและปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ “ซีพี” เป็นบริษัทต่างชาติรายแรกที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีน ในปี 1981 ซึ่งมีหลักฐานคือใบอนุญาตที่มีหมายเลข 0001 ที่จดทะเบียนในเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง เพราะซีพีเป็นบริษัทแรกที่ขออนุญาตลงทุนในประเทศจีน ในชื่อ “เจิ้งต้า”
ในช่วงแรก ที่จีนเปิดประเทศ โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการทำธุรกิจในจีนยังไม่มีความพร้อมเท่าที่ควร แต่ซีพีก็มองเห็นโอกาสและเข้าไปช่วยพัฒนาโครงสร้างการทำธุรกิจในประเทศจีน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มสุกรและไก่ ซึ่งซีพีมีความเชี่ยวชาญ จนถึงทุกวันนี้ ก็นับเป็นเวลากว่า 44 ปีแล้ว ที่ซีพีเข้าไปลงทุนในประเทศจีน ซีพีมีบริษัทในเครืออยู่ในจีนมากกว่า 600 บริษัท กระจายอยู่ทั่วทุกมณฑลของจีน มีพนักงานในจีนรวมกันกว่า 100,000 คน ครอบคลุมธุรกิจที่หลากหลาย ตั้งแต่การเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจค้าปลีก ยารักษาโรค ธุรกิจการเงิน และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธุรกิจในประเทศจีนก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้เข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม
นอกจากนี้ ซีพีมีแผนที่ขยายการลงทุนใหม่ใน 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วยการแพทย์ชีวภาพ เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ และอากาศยาน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งอนาคต
ตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ ประเทศไทยมีสายสัมพันธ์กับจีนครบรอบ 50 ปีแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์ ในโลกและในประเทศจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร มิตรภาพและความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนก็ไม่เคยสั่นคลอน นับได้ว่าปี 2025 เป็นปีทองแห่งมิตรภาพ ไทย-จีน ที่ความสัมพันธ์มีแต่จะแข็งแกร่งและแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยตลอดทั้งปี ทั้งสองประเทศมีการจัดกิจกรรมร่วมกัน ทั้งด้านการเมือง การค้า วัฒนธรรม และการศึกษา เพื่อมุ่งไปสู่การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น ตามคำขวัญในโอกาสฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ ที่ว่า “จีน - ไทยสานใจกัน ร่วมสร้างฝันประชาคม”
และเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ซีพี ได้ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมนำการแสดงอุปรากรจีน งิ้วแต้จิ๋ว คณะกึงตังเตี่ยเกี๊ยะอิ๊กท้วง ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดคณะงิ้วอันดับหนึ่งของจีน มาจัดแสดงในประเทศไทย ภายใต้ชื่อชุดการแสดง “มหาอุปรากรสะท้านปฐพี” ระหว่างวันที่ 10-16 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 ณ ทรู ไอคอน ฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม เพื่อตอกย้ำบทบาทของภาคธุรกิจไทยที่ไม่เพียงมีส่วนร่วมในภาคการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมระหว่างประเทศด้วย
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่าการแสดงงิ้ว เป็นภาษาแห่งมิตรภาพที่สะท้อนคุณธรรมร่วมของคนสองชนชาติ ซึ่งทางซีพีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดงชุด “มหาอุปรากรสะท้านปฐพี” ซึ่งนอกจากจะเป็นของขวัญแห่งมิตรภาพแด่ชาวไทยและชาวจีน ยังเป็นการเปิดเวทีให้ศิลปวัฒนธรรมจีนได้เข้าถึงใจคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
