จากเด็กจีนยากไร้สู่ 'ราชามวยไทย' หยั่งรากความสำเร็จในกว่างซี
หนานหนิง, 10 มี.ค. (ซินหัว) -- ช่วงเย็นหลังเลิกเรียนเป็นเวลาที่ "จ้าวชุนหนิง" นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตั้งตาคอย เพราะเธอจะได้ไปฝึกมวยไทย ศิลปะป้องกันตัวที่เธอร่ำเรียนมานานกว่า 2 ปี กับครูมากความสามารถที่สนามกีฬาหลี่หนิงของนครหนานหนิง เมืองเอกของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน
ครูมวยของจ้าวคือ "เย่เสี่ยวเฟย" ชายวัย 36 ปี ดีกรีแชมป์การแข่งขันมวยสากลนานาชาติแห่งประเทศไทย รุ่น 55 กิโลกรัม เมื่อปี 2012 ความสำเร็จนี้เขาได้มาอย่างยากลำบาก จากเด็กชายแห่งหมู่บ้านยากจนกลางป่าเขาสู่การเป็น "ราชามวยไทย"
บ้านเกิดของเย่อยู่ที่ตำบลชีไป่น่ง อำเภอปกครองตนเองต้าฮว่า กลุ่มชาติพันธุ์เหยา ในกว่างซีจ้วง ตำบลแห่งนี้ขาดแคลนทั้งน้ำและดินจนเคยได้ชื่อเป็น "ดินแดนต้องคำสาป" เนื่องจากมีภูมิประเทศเป็นแอ่งล้อมรอบด้วยภูเขาหินสูงชัน ทำให้ชาวบ้านต้องตกอยู่ในความยากจนอย่างเลี่ยงไม่ได้ และเย่ต้องการหลุดพ้นจากปราการภูเขาเหล่านี้
เย่เสี่ยวเฟยในวัย 15 ปี โบกมือลาบ้านเกิดและนั่งรถไฟไปทำงานกับญาติที่นครอุรุมชี เมืองเอกของเขตปกครองตนเอง ซินเจียงทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ที่นั่นเขาได้เรียนกายกรรม ศิลปะป้องกันตัวจีนโบราณ เทควันโด และส่านต่าหรือมวยจีน อันเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางการฝึกฝนศิลปะป้องกันตัว โดยเย่ฝึกหนักช่วงกลางวันและทำงานตอนกลางคืน
ต่อมาเย่เสี่ยวเฟยได้รู้จักกับมวยไทย ซึ่งเป็นศิลปะป้องกันตัวที่เขาชื่นชอบมาจนถึงปัจจุบัน และเดินทางไปเรียนมวยไทยที่นครกว่างโจว เมืองเอกของมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) ทางตอนใต้ของจีนในปี 2008 จากนั้นจึงเปิดยิมมวยไทยที่เมืองอวี้หลินในกว่างซีเมื่อปี 2010 และเดินทางมายังไทยเพื่อเรียนมวยไทยอย่างจริงจังในปีถัดมา
"ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นผมกล้าไปไทยได้ยังไงทั้งที่ไม่เข้าใจทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย แต่ถ้าคุณต้องการจะพัฒนาตนเองไปอีกขั้นหนึ่ง คุณก็ต้องทนความยากลำบากที่ไม่มีใครมองเห็นให้ได้"
"ถ้าครูฝึกบอกให้ผมเตะกระสอบทราย 300 ครั้ง ผมก็จะเตะไป 400 กว่าครั้ง ผมวิ่งครบ 10 กิโลเมตรตอนที่คนอื่นยังวิ่งได้แค่ครึ่งทาง" เย่บอกเล่า พร้อมเสริมว่าเขาฝึกหนัก 7 ชั่วโมงต่อวัน ร่างกายของเขามีบาดแผลจากการฝึกซ้อมมากมาย
อย่างไรก็ดี ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจทำให้เย่กลับมาทำงานเก็บเงินที่บ้านเกิดก่อนจะบินมาไทยอีกครั้ง เขาพัฒนาทักษะของตนอยู่เสมอด้วยการเข้าร่วมการแข่งขันและฝึกฝนตนเองไม่ได้ขาด ช่วงแรกที่ขึ้นสังเวียนมีแพ้ชนะสลับกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเย่ก็ชนะบ่อยขึ้น เพราะการฝึกซ้อมอย่างหนักปรากฎผลลัพธ์ให้เห็นทีละน้อย
หลังจากชนะรางวัล "ราชามวยไทย" ในปี 2012 เย่กลับมาฝึกต่อที่จีน พร้อมเปิดยิมสอนมวยไทยในหนานหนิง ช่วงแรกกระแสตอบรับไม่ดีเนื่องจากไม่มีใครรู้จักหรือสนใจมวยไทยมากนัก ต่อมาเริ่มมีคนจีนเดินทางมาเรียนมวยในไทยมากขึ้น ทำให้มวยไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เย่สั่งสอนลูกศิษย์หลายพันคน เขารับรู้ถึงกระแสความนิยมของมวยไทยในจีนเป็นอย่างดี เย่เล่าว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือมีผู้ใหญ่และวัยรุ่นสนใจเรียนมวยไทยเพิ่มขึ้นทุกปี ตัวอย่างเช่นคุณแม่ของจ้าวชุนหนิง ส่งลูกสาวมาเรียนมวยไทยเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง แต่หลังจากร่ำเรียนไปสักพัก จ้าวกลายเป็นคนสุขุมและมีความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้น
"การฝึกศิลปะป้องกันตัวไม่ใช่ฝึกฝนร่างกายเท่านั้น แต่ต้องฝึกฝนจิตใจด้วย นี่เป็นหลักที่ผมใช้สอนลูกศิษย์" เย่กล่าว พร้อมทิ้งท้ายว่าผู้มีหัวใจแข็งแกร่งเท่านั้น จึงจะสามารถฝึกศิลปะป้องกันตัวได้อย่างแท้จริง