กางแผนที่นวัตกรรมโลก “ไทย” อยู่ตรงไหน

องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization-WIPO) เผยแพร่รายงานชื่อ “นวัตกรรมช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ” (Innovation at a Crossroads) สะท้อนถึงแนวโน้มนวัตกรรมท่ามกลางโลกในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งความเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รูปแบบความร่วมมือใหม่ ๆ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไปจนถึงระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในแวดวงอุตสาหกรรม ตลาดแรงงาน และกรอบทางสังคมอื่น ๆ ซึ่งดัชนีสำคัญ ๆ อาทิ การวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่แม้จะเพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มในอัตราที่ชะลอลง รวมถึงการร่วมลงทุน (venture capital) และการจดสิทธิบัตรที่แผ่วลง ต่างสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศด้านนวัตกรรมของโลก
รายงานล่าสุดจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index-GII) ประจำปี 2568 ที่มี 139 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก โดย “สวิตเซอร์แลนด์” ยังคงอยู่ในอันดับ 1 เป็นปีที่ 15 ติดต่อกันตั้งแต่ปี 2554 สะท้อนความเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการสร้างสรรค์ และติด 5 อันดับแรกในเกณฑ์ชี้วัดต่าง ๆ ยกเว้นด้านทุนมนุษย์และการวิจัย ตามด้วย “สวีเดน” และ “สหรัฐฯ” ที่ยังรักษาอันดับเดิมไว้ได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ส่วนอันดับ 4 ได้แก่ เกาหลีใต้ ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดที่ทำได้ ครองความเป็นผู้นำในด้านทุนมนุษย์และการวิจัย และอันดับ 5 คือ สิงคโปร์ ที่สามารถทำผลงานโดยรวมได้ดี อยู่ในอันดับ 1 ของเกณฑ์ชี้วัด 10 เกณฑ์จากทั้งหมด 78 เกณฑ์ สำหรับอันดับ 6 ได้แก่ อังกฤษ แข็งแกร่งด้านความสร้างสรรค์ ตามด้วยอันดับ 7 ฟินแลนด์ โดดเด่นในด้านโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรม, อันดับ 8 เนเธอร์แลนด์ มีจุดแข็งด้านระบบนิเวศ และอันดับ 9 เดนมาร์ก ทำได้ดีในแง่การเข้าถึง ICT
น่าสนใจว่า ในปีนี้ “จีน” ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับ 10 ของทำเนียบนวัตกรรมโลก นับเป็นครั้งแรกที่มีชื่อติด 10 อันดับแรก เบียด “เยอรมนี” หลุดไปอยู่อันดับ 11 โดยจีนเป็นผู้นำระดับโลกในด้านความรู้และเทคโนโลยี ขณะเดียวกันจีนน่าจะขึ้นแท่นประเทศที่มีการใช้จ่ายด้าน R&D มากสุดในปี 2567
เมื่อแยกรายภูมิภาคทั้งหมด 7 ภูมิภาค เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยการจัดอันดับ พบว่า ภูมิภาคอเมริกาเหนือและภูมิภาคยุโรปยังคงเป็นผู้นำ ตามมาด้วยภูมิภาคอาเซียน-เอเชียตะวันออก-โอเชียเนีย ต่อด้วยภูมิภาคเอเชียกลางและเอเชียใต้ จากนั้นก็ภูมิภาคแอฟริกาเหนือและเอเชียตะวันตก ขยับตามมาด้วยภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียน ขณะที่ภูมิภาคแอฟริกาซับซาฮารายังคงตามหลังภูมิภาคอื่น ๆ
น่าสังเกตว่า ผลงานของภูมิภาคเอเชียกลางและเอเชียใต้ขยับขึ้นมาแซงหน้าภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียนเป็นครั้งแรก เนื่องจากเอเชียกลางและเอเชียใต้ได้แรงหนุนจากเขตเศรษฐกิจอย่างอินเดีย (อันดับ 38) อุซเบกิสถาน (อันดับ 79) และคาซัคสถาน (อันดับ 81) ซึ่งทำผลงานโดดเด่นด้านความรู้ เทคโนโลยี และการพัฒนาทุนมนุษย์ ส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมการใช้เทคโนโลยีและการเป็นผู้ประกอบการที่แข็งแกร่ง ส่งผลต่อภาพรวมแม้จะยังไม่มีระบบนวัตกรรมที่ก้าวหน้าก็ตาม
สำหรับประเทศที่ทำผลงานดีสุดในแต่ละภูมิภาค เริ่มจากภูมิภาคอเมริกาเหนือได้แก่ สหรัฐฯ และแคนาดา ส่วนภูมิภาคยุโรป ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน อังกฤษ ด้านภูมิภาคอาเซียน-เอเชียตะวันออก-โอเชียเนีย ได้แก่ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน ต่อด้วยภูมิภาคเอเชียกลางและเอเชียใต้ ได้แก่ อินเดีย อิหร่าน อุซเบกิสถาน ภูมิภาคแอฟริกาเหนือและเอเชียตะวันตก ได้แก่ อิสราเอล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ตุรกี ภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียน ได้แก่ ชิลี บราซิล เม็กซิโก และภูมิภาคแอฟริกาซับซาฮารา ได้แก่ แอฟริกาใต้ บอตสวานา เซเนกัล
ในแง่ประเทศที่ขยับอันดับขึ้นมาได้อย่างโดดเด่นมาจากหลากหลายภูมิภาค โดยเมื่อเทียบระหว่างปี 2556-2568 “จีน” ขึ้นแท่นในอันดับ 10 ของทำเนียบได้ จากที่เคยรั้งอันดับ 35 ตามด้วย “อินเดีย” ที่ล่าสุดอยู่ในอันดับ 38 จากที่เคยอยู่อันดับ 66, “ตุรกี” ขยับมาอยู่อันดับ 43 จากเดิมอันดับ 68, “เวียดนาม” กระโดดมาอยู่ในอันดับ 44 จากอันดับ 76, “ฟิลิปปินส์” รั้งอันดับ 50 จากอันดับ 90, “อินโดนีเซีย” ขยับแตะอันดับ 55 จากอันดับ 85, “โมร็อกโก” อยู่อันดับ 57 จากอันดับ 92, “แอลเบเนีย” รั้งอันดับ 67 จากอันดับ 93 และ “อิหร่าน” อันดับ 70 จากอันดับ 113
นอกจากนี้ เมื่อแยกตามกลุ่มรายได้ จีนยังเป็นผู้นำในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับสูง (Upper-middle-income) ตามด้วยไทยและบราซิล จีนยังเป็นผู้นำด้านการยื่นขอจดสิทธิบัตร และเป็นผู้นำในแง่คลัสเตอร์นวัตกรรมที่มีถึง 24 คลัสเตอร์ ทั้งยังดึงดูดธุรกิจร่วมลงทุน (venture capital) มีการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง และมีความแข็งแกร่งโดยเฉพาะอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เมื่อโฟกัสเฉพาะในกลุ่มอาเซียน รายงานระบุว่า อาเซียนมีบทบาทมากขึ้นในเวทีนวัตกรรมโลก โดยระหว่างปี 2543-2566 เม็ดเงินใช้จ่ายด้าน R&D ในอาเซียนมีอัตราการเติบโตแบบทบต้น (CAGR) อยู่ที่ร้อยละ 8.5 คิดเป็นมูลค่าเกือบ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงจากอาเซียนเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในระหว่างปี 2558-2565 โดยขยายตัวร้อยละ 9.7 ต่อปี และมูลค่าแบรนด์ก็แตะร้อยละ 7 ของ GDP ในปี 2566 สะท้อนถึงความทันสมัยของภาคเอกชน นอกจากนี้ การร่วมลงทุนในภูมิภาคนี้ก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 134 จากระบบนิเวศน์ด้านสตาร์ตอัปที่แพร่หลายขึ้น
ผลงานของประเทศในอาเซียนนำโดย “สิงคโปร์” ที่อยู่ในอันดับ 5 ของดัชนีนวัตกรรมโลก ตามด้วย “มาเลเซีย” ในอันดับ 34, “เวียดนาม” อันดับ 44, “ไทย” อันดับ 45 และ “ฟิลิปปินส์” ในอันดับ 50 ส่วนอันดับ 6-10 ในภูมิภาคนี้ ได้แก่ อินโดนีเซีย อันดับ 55, บรูไน อันดับ 88, กัมพูชา อันดับ 100, สปป.ลาว อันดับ 109 และเมียนมา อันดับ 122
กรณีของ “เวียดนาม” มีการเติบโตด้านนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง การผลิตสินค้าเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการตีพิมพ์วารสารด้านวิทยาศาสตร์ ส่วน “ฟิลิปปินส์” มีความก้าวหน้าในด้านสิทธิบัตรและวิทยาศาสตร์ ขณะที่ “สิงคโปร์” ยังคงแข็งแกร่งในด้านการผลิตสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง ในส่วนของ “ไทย” แม้จะยังทำผลงานติดกลุ่มผู้นำ แต่เพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็เร่งตีตื้นขึ้นมา ส่งผลให้ไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน
ข้อมูลการใช้จ่ายด้าน R&D โดยรวม พบว่า หลังจากเม็ดเงิน R&D ลดลงอย่างมากในปี 2563 จากผลของวิกฤตโควิด จากนั้นก็เริ่มกระเตื้องขึ้นในปี 2564-2565 แต่ในปี 2566 การใช้จ่ายด้าน R&D ก็ขยายตัวร้อยละ 4.4 ชะลอลงจากในปี 2565 ที่อยู่ที่ร้อยละ 4.7 ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มที่เม็ดเงิน R&D จะขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 2.9 ในปี 2567 และร้อยละ 2.3 ในปี 2568 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มการลงทุน R&D ของภาคเอกชนที่จะชะลอตัวลง ทั้งนี้ การลงทุน R&D ของภาคเอกชนในปี 2567 มีมูลค่าเกือบ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 3 ในแง่ตัวเลข แต่เพิ่มขึ้นจริงเพียงร้อยละ 1 เมื่อคำนวณภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนถึงการเติบโตด้าน R&D รายปีที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553
ด้านการทำข้อตกลงร่วมลงทุน (VC) ทั่วโลก ในปี 2567 มีมูลค่าราว 3.84 แสนล้านดอลลาร์ แต่ก็ต่ำกว่าเมื่อปี 2564 ที่อยู่ที่เกือบ 7.5 แสนล้านดอลลาร์ ในส่วนจำนวนข้อตกลงก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 ลดลงร้อยละ 4.4 อยู่ที่ประมาณ 43,000 ข้อตกลง จากระดับสูงสุดประมาณ 58,000 ข้อตกลง ในปี 2564 นับเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่จำนวนข้อตกลงลดลง
ขณะที่การยื่นขอจดสิทธิบัตร (patent) ระหว่างประเทศในปี 2567 อยู่ที่ 273,900 ฉบับ เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 เมื่อเทียบปีก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 2.5 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากเมื่อปี 2566 ที่ลดลงร้อยละ 1.9 ซึ่ง “จีน” ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในการยื่นขอจดสิทธิบัตรเอาไว้ได้ โดยมีอัตราการยื่นขอจดสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 1 คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของการยื่นขอจดสิทธิบัตรทั้งหมดในปี 2567 ส่วน “เกาหลีใต้” ยื่นขอจดสิทธิบัตรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.1 ในทางกลับกัน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเยอรมนี ที่มีสัดส่วนรวมกันกว่าร้อยละ 40 ของการยื่นขอจดสิทธิบัตรทั้งหมด กลับมีการยื่นขอจดสิทธิบัตรลดลง กรณีสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 2.7, ญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 1.2 และเยอรมนีลดลงร้อยละ 1.3
รายงานฉบับนี้ยังแยกย่อยการพัฒนานวัตกรรมในด้านต่าง ๆ หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจ คือ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งในปี 2567 จำนวนรถ EV ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 18 ล้านคัน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 45 จากเมื่อปี 2566 อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวมีแนวโน้มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 55
เมื่อปีที่แล้ว ตลาดสำคัญหลายแห่งเผชิญกับภาวะชะลอตัวในอุตสาหกรรม EV แต่จีนยังคงเติบโตที่ร้อยละ 55 เท่า ๆ กับเมื่อปีก่อนหน้า นอกจากนี้ รถ EV ยังทำผลงานอย่างแข็งแกร่งในเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่บางแห่ง อาทิ รัสเซีย อุซเบกิสถาน เวียดนาม อินเดีย ตุรกี และบราซิล ที่มีการเติบโตเกินร้อยละ 100 สำหรับในปี 2568 รถยนต์ทั่วโลก 4.5 ใน 100 คัน เป็นรถ EV ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเพียง 0.07 ต่อ 100 คันเมื่อทศวรรษที่แล้ว โดยเฉพาะประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่เป็นผู้นำด้านการใช้รถ EV โดยนอร์เวย์มี EV 32 คัน ต่อรถยนต์ 100 คัน ตามด้วยไอซ์แลนด์ 18 คัน, เดนมาร์ก 17 คัน และสวีเดน 13 คัน ส่วนจีนอยู่ที่ 11 คัน เท่ากับเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม แต่อุตสาหกรรม EV น่าจะเผชิญความท้าทายในปีนี้ ทั้งความต้องการที่ชะลอตัวในสหรัฐฯ และในจีนก็เผชิญแรงกดดันจากสงครามราคาที่รุนแรง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
