ศบค.ชุดเล็กเล็งยืดพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก1เดือน เจอ2สาวไทยติดโควิด หลังพ้นกัก
ศบค.ชุดเล็กเล็งยืดพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน เจอ 2 สาวไทยติดโควิด หลังพ้นกัก
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองผู้บัญชาการทหารบก (รอง ผบ.ทบ.) ในฐานะรองประธานกรรมการในคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และรองหัวหน้าสำนักงานประสานงานกลาง ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. กล่าวถึง การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยว่า ศบค.ได้เฝ้าระวังในจุดที่อาจจะมีการรั่วไหล หากเกิดการระบาดรอบสองก็เป็นที่น่าเสียดาย เนื่องจากเราดูแลอย่างดีมาถึง 90 วันแล้ว
ทั้งนี้ ศบค.ชุดเล็กเตรียมเสนอ ศบค.ชุดใหญ่เพื่อต่อ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะสิ้นสุดการบังคับใช้วันที่ 31 สิงหาคม 2563 นี้ ต่ออีก 1 เดือน หรือเข้าสู่เดือนกันยายน ยืนยันว่าการมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน สามารถดำเนินการจัดการชุมนุมได้ เนื่องจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ บังคับใช้กฎหมายบางตัวที่ พ.ร.บ.ควบคุมโรคไม่สามารถทำได้ อีกทั้งยังสามารถรวบรวมหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้มาทำงานร่วมกันในจุดเดียวกันได้ ซึ่งมองว่าการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯยังคงมีความจำเป็น
ขณะเดียวกัน เมื่อช่วงหัวค่ำ เมื่อวานนี้ (19 ส.ค.) ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผู้อำนวยการ รพ.รามาธิบดี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)(ศบค.) และคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมแถลงรายละเอียด
นพ.สุวรรณชัย แถลงว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อจำนวน 2 ราย เป็นเพศหญิงทั้ง 2 ราย เดินทางกลับจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อถึงประเทศไทยได้เข้าในสถานกักกันโรคของรัฐครบ 14 วันแล้ว โดยรายที่ 1 เพศหญิง อายุ 34 ปี เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ไม่มีอาการใดๆ และเข้าสถานกักกันโรคของรัฐครบ 14 วัน ตรวจเชื้อครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พบสารพันธุกรรมในปริมาณน้อย แต่ผลถือว่าเป็น “ผลแล็บกำกวม” ตรวจครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พบตรวจไม่พบเชื้อ แล้วเมื่อครบ 14 วัน จึงอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาที่ จ.ชัยภูมิ และต้องแยกตัวต่ออีก 30 วัน ต่อมาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม มีเหตุต้องเดินทางไปต่างประเทศ จึงเข้ารับการตรวจร่างกายและหาเชื้อโควิด-19 ที่ รพ.รามาธิบดี เพื่อขอใบรับรองแพทย์ในการเดินทาง และเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ผลตรวจพบสารพันธุกรรมโควิด-19 ในปริมาณน้อย และเมื่อเจาะเลือดตรวจพบว่ามีภูมิคุ้มกันของโรค แพทย์จึงรับเข้าทำการรักษาใน รพ.แล้ว จึงสรุปว่า รายที่ 1 นี้เป็นผู้ป่วยยืนยันรายเดิม และไม่ได้เป็นการติดเชื้อใหม่ พบเพียงซากเชื้อ ไม่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโรค
ส่วนรายที่ 2 เพศหญิงอายุ 35 ปี เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน เดินทางกลับประเทศไทย และเข้าสถานกักกันโรคของรัฐ เป็นเวลา 14 วัน ผลการตรวจหาเชื้อ 2 ครั้ง ไม่พบเชื้อ เมื่อพักในสถานกักกันโรคฯ ครบ 14 วัน จึงอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาที่ จ.เลย ต่อมาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ได้เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ด้วยรถยนต์ส่วนตัว เพื่อเตรียมตัวไปทำงานต่างประเทศ และเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ได้เข้ารับการตรวจสุขภาพและตรวจหาพันธุกรรมโควิด-19 ที่ รพ.รามาธิบดี เพื่อขอใบรับรองแพทย์ในการเดินทาง ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ในปริมาณน้อย ไม่มีอาการป่วยใดๆ ทาง รพ. ได้ทำการรับเข้ารักษาในระบบแล้ว แพทย์ยังไม่มีการรักษาด้วยยา เนื่องจากยังไม่มีอาการป่วย และทำการสังเกตอาการต่อไปอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางระบาดวิทยา คาดว่ามีโอกาสที่จะเป็นการติดเชื้อในประเทศได้น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ต้องทำการตรวจสอบโดยกระบวนการเดียวกับรายแรก เมื่อได้ผลเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบต่อไป ส่วนที่มีโอกาสน้อย เนื่องจากประเทศไทยไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อภายในประเทศมามากกว่า 80 วัน และมีการตรวจหาเชื้อเชิงรุกทั้งใน จ.ระยอง จ.สระแก้ว และพื้นที่อื่นๆ ทุกรายให้ผลเป็นลบ รวมถึงผู้เดินทางเข้าประเทศจะต้องเข้าสถานกักกันโรคฯ ทุกราย โดยขณะนี้มีจำนวนผู้เข้าสถานกักกันโรคฯ สะสมรวมกว่า 80,000 ราย พบการติดเชื้อเพียง 400 กว่าราย ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยที่จะเป็นการติดเชื้อในประเทศ