รีเซต

อนุสรณ์ ธรรมใจ ชี้ “สันติธรรมประชาธิปไตย” คือหัวใจของชาติ

อนุสรณ์ ธรรมใจ ชี้ “สันติธรรมประชาธิปไตย” คือหัวใจของชาติ
TNN ช่อง16
9 พฤศจิกายน 2568 ( 14:35 )
8

“สันติธรรมประชาธิปไตย” คือเนื้อแท้ของระบอบที่แท้จริง

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวเปิดงานเสวนา PRIDI Talks#30 ในหัวข้อ “สันติธรรมประชาธิปไตยตามแนวคิดของรัฐบุรุษ” ว่า หากประชาธิปไตยไร้ซึ่งสันติภาพและสันติธรรม ก็ไม่อาจนับเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ เพราะประชาธิปไตยที่มีเพียงรูปแบบแต่ขาดเนื้อหาย่อมไม่ยั่งยืน

เขาอธิบายว่า ประชาธิปไตยแท้ต้องเปิดพื้นที่ให้ความแตกต่างอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เกิดความเกลียดชัง เปิดกว้างให้มีส่วนร่วมทางสังคม และแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็น “หัวใจของสันติธรรมประชาธิปไตย”

ปฏิรูปโครงสร้างที่กดทับคนส่วนใหญ่

อนุสรณ์มองว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างจริงจัง เพราะปัญหาเชิงโครงสร้างทำให้คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงโอกาส ไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรม หรือแม้แต่สิทธิขั้นพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เขากล่าวว่า

“ตราบใดที่ยังมีโครงสร้างที่กดทับประชาชน ประชาธิปไตยแบบไทยไทยจะไม่อาจมีสันติสุขได้”

สถานการณ์รัฐประหารที่เกิดซ้ำทุก 4–5 ปี คือภาพสะท้อนของประชาธิปไตยที่ยังไม่สมบูรณ์ แม้เวลาจะล่วงเลยกว่า 93 ปีหลังการอภิวัฒน์ประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2475

รากฐานความคิดจากปรีดี พนมยงค์ สู่สันติธรรมร่วมสมัย

นายอนุสรณ์อธิบายว่า หลัก 6 ประการของคณะราษฎร และแนวคิดภราดรภาพนิยมของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ คือแก่นแท้ของ “สันติธรรมประชาธิปไตย” ที่เชื่อมโยงกับพุทธธรรมและเมตตา ปรีดีเสนอว่าสังคมที่ยึดธรรมะ ย่อมเป็นสังคมแห่งความเสมอภาคและภราดรภาพ ในขณะที่สังคมที่กดขี่จะเสื่อมถอยไปเองในที่สุด

ตัวอย่างเช่นภาพยนตร์ “พระเจ้าช้างเผือก” ที่ปรีดีอำนวยการสร้างในปี 2483 ซึ่งต่อมาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกโดยยูเนสโก เป็นสัญลักษณ์ของการเผยแพร่แนวคิดสันติภาพสู่ประชาคมโลก

ทางออกชายแดนใต้ หยุดวงจรรุนแรงด้วยสันติวิธี

อนุสรณ์ยกกรณีเหตุความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า รัฐต้องบังคับใช้กฎหมายควบคู่กับการสร้างความปลอดภัยให้ประชาชน โดยไม่สร้างเงื่อนไขให้สถานการณ์เลวร้ายลง พร้อมเสนอให้ทุกฝ่ายหันมาใช้ “สันติวิธี” เป็นแนวทางหลัก และเริ่มต้นจากการเจรจาอย่างจริงใจ

เขาเตือนว่าการใช้ความรุนแรงต่อพลเรือน เช่น เด็กหรือผู้สูงอายุ เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย พร้อมย้ำว่า “การเสนอให้หยุดยิงหรือเจรจาไม่ใช่การเข้าข้างฝ่ายใด แต่คือทางเลือกของมนุษยธรรม”

นอกจากนี้ยังชี้ถึงภัยของ “ขบวนการ IO” ที่ปั่นกระแสเกลียดชังให้ลุกลามในสังคม ซึ่งอาจบ่อนทำลายกระบวนการสันติภาพและทำให้ปัญหายืดเยื้อ

บทเรียนจากรัฐบุรุษโลก ความรักชนะความเกลียด

อนุสรณ์อ้างคำกล่าวของเนลสัน แมนเดลา ที่ว่า “ไม่มีใครเกิดมาเพื่อเกลียดผู้อื่นเพราะสีผิวหรือศาสนา แต่หากมนุษย์เรียนรู้ที่จะเกลียดได้ ก็ย่อมเรียนรู้ที่จะรักได้เช่นกัน” เพื่อชี้ให้เห็นว่าการเยียวยาความขัดแย้งต้องอาศัยความเข้าใจและการให้อภัยมากกว่าการใช้กำลัง

เขาเชื่อว่า แม้โลกจะพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า แต่ความรุนแรงและสงครามยังเกิดขึ้นทั่วโลก สงครามเย็นรอบใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หรือสงครามรัสเซีย–ยูเครน ล้วนเป็นสัญญาณของวิกฤตศตวรรษที่ 21 ที่มนุษย์ยังไม่อาจหลุดพ้นจากวงจรแห่งอำนาจและความกลัว

ภารกิจของนักต่อสู้เพื่อสันติภาพ

อนุสรณ์ย้ำว่า ภารกิจของผู้รักประชาธิปไตยคือการเดินหน้าต่อสู้ด้วยสันติวิธี เพื่อสร้างความยุติธรรมและเสรีภาพอย่างยั่งยืน เขาเปรียบเทียบผู้นำทางประวัติศาสตร์ เช่น มหาตมะ คานธี, มาร์ติน ลูเธอร์ คิง, เนลสัน แมนเดลา, โคฟี อันนัน และปรีดี พนมยงค์ ว่าล้วนใช้แนวทางอหิงสาเป็นเครื่องมือสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

“ไม่มีรัฐบุรุษคนใดสร้างสันติธรรมประชาธิปไตยได้ หากประชาชนไม่ตระหนัก ไม่สนับสนุน และไม่เข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง”

คือถ้อยคำปิดท้ายที่สะท้อนสารสำคัญจากเวที PRIDI Talks#30 — ว่าสันติธรรมไม่ใช่เพียงแนวคิด แต่คือการลงมือร่วมกันของสังคมทั้งหมด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง