“อนุสรณ์” เตือนเศรษฐกิจไทยเสี่ยงเงินฝืด เร่งผ่าตัดโครงสร้างใหญ่หนีรั้งท้ายอาเซียน

เศรษฐกิจไทยเผชิญความเสี่ยงเงินฝืด
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มใกล้ศูนย์หรือติดลบเล็กน้อย หลังจากเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง 6 เดือน และอาจยืดเยื้อถึงต้นปี 2569 ภาคส่งออกเริ่มชะลอตัวตั้งแต่เดือนสิงหาคม ขณะที่การบริโภคภายในประเทศขยายตัวต่ำจากภาระหนี้ครัวเรือนและรายได้ที่ฟื้นตัวช้า
มาตรการ Quick Big Win ของรัฐบาลถูกมองว่ามีขีดจำกัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากใช้งบประมาณเดิมโดยไม่เพิ่มเม็ดเงินใหม่ จึงเพียงช่วยบรรเทาปัญหาในระยะสั้น แต่ยังไม่เพียงพอสำหรับการฟื้นตัวอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐและผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมล้มตัวลง
เร่งผ่าตัดใหญ่ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องได้รับการ “ผ่าตัดใหญ่” โดยไม่ควรรอรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง เนื่องจากประชาชนระดับฐานรากกำลังเผชิญกับกับดักซ้ำซ้อน ทั้งหนี้สิน ความเหลื่อมล้ำ รายได้ต่ำ และการขาดความมั่นคงทางอาชีพ
ประเทศไทยติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางตั้งแต่ปี 2531 แม้ช่วงปี 2553 เคยขยับขึ้นสู่กลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน แต่เศรษฐกิจกลับชะลอตัวลงหลังรัฐประหารปี 2557 และได้รับผลกระทบหนักจากวิกฤตโควิด-19 ปี 2563 จนเศรษฐกิจฐานรากฟื้นตัวได้อย่างจำกัด
จุดอ่อนเชิงโครงสร้างฉุดศักยภาพประเทศ
ประเทศไทยยังมีจุดอ่อนเชิงโครงสร้างในหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยเฉพาะโครงสร้างสังคมผู้สูงอายุที่แรงงานมีคุณภาพต่ำ การออมไม่เพียงพอ ขาดแคลนแรงงานฝีมือ ผลิตภาพต่ำ และต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกสูง
ระบบราชการยังขาดการบูรณาการ ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ ขณะที่ปัญหาคอร์รัปชัน ความไม่โปร่งใส และการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ยังคงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา รวมถึงกฎระเบียบล้าสมัย และความเหลื่อมล้ำในสังคมที่เพิ่มขึ้น
IMF คาดไทยร่วงอันดับ 5 อาเซียนภายในปี 2030
ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ขนาดเศรษฐกิจไทยอาจร่วงลงมาอยู่อันดับ 5 ของอาเซียน ภายในปี 2030 โดยฟิลิปปินส์และเวียดนามจะขึ้นแซงหน้า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) คาดอยู่ที่ 654 พันล้านดอลลาร์ จาก 558 พันล้านดอลลาร์ในปี 2568 หากอัตราการเติบโตเฉลี่ยยังไม่ถึง 2% ต่อปี
เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยร่วงอันดับ จำเป็นต้องผลักดันให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับ 4–5% ผ่านการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การสร้างอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ในกลุ่ม New S-Curve และการลงทุนด้านนวัตกรรมและทุนมนุษย์อย่างจริงจัง
เสนอปรับระบบการเงิน–ตลาดทุนรองรับการเติบโต
การยกระดับการลงทุนภายในประเทศให้สูงกว่า 30–40% ของจีดีพี พร้อมเปิดกว้างรับการลงทุนจากต่างชาติควบคู่กับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ถือเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างฐานเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
นอกจากนี้ยังควรวางยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อมุ่งสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ยึดติดเพียงนโยบายระยะสั้นของรัฐบาลชุดใดชุดหนึ่ง โดยตลาดทุนควรถูกพัฒนาให้เป็นกลไกหลักในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เปลี่ยนจากระบบการเงินที่พึ่งพาธนาคาร (Bank-based) ไปสู่ระบบตลาดทุน (Market-based) เพื่อเพิ่มเสถียรภาพทางการเงิน และเปิดโอกาสให้ธุรกิจเอสเอ็มอีเข้าถึงทุนได้มากขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
