ภาษีนำเข้า VS นโยบายการเงิน: ความท้าทายของเฟดในปี 2568

#ทันหุ้น-ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และประเทศต่าง ๆ ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตจำนวนมากในหลาย ๆ ประเทศ ถึงแม้ว่าผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างจำกัด แต่ความตึงเครียดที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจตลาด การเงินและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในปี 2568
การที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ามากกว่า 1 หมื่นรายการ ในกรอบ 10-25% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนในปี 2561 พร้อมกับการตอบโต้ของจีน ถือเป็นการยกระดับความตึงเครียดทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสงครามการค้าดังกล่าวได้ปรากฏชัดในข้อมูลการค้า โดยส่งผลกระทบทั้งต่อประเทศที่เกี่ยวข้องโดยตรงและประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ในปี 2561 สหรัฐ ได้ทยอยเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนใน 3 ครั้ง โดยเริ่มจากสินค้านำเข้ามูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี (เดือนก.ค.) ตามด้วยอีก 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (เดือนส.ค.) และสุดท้ายเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ (เดือนก.ย.)
ในกรณีที่มีการประกาศขึ้นภาษีล่วงหน้าก่อนบังคับใช้ เราพบว่า มีการเพิ่มขึ้นของอัตราการนำเข้าก่อนวันที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้ สะท้อนให้เห็นว่าผู้นำเข้าได้กักตุนสินค้าก่อนการขึ้นภาษี ซึ่งเป็นสาเหตุให้การนำเข้าลดลงอย่าง รวดเร็วในเวลาต่อมาหลังจากภาษีมีผลบังคับใช้ โดยการนำเข้าสินค้าจากจีนลดลงอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มสินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษี
ผู้บริโภคในสหรัฐ และจีนเป็นผู้เสียประโยชน์จากความตึงเครียดทางการค้าในปี 2561-2562 จากงานวิจัยโดย Cavallo, Gopinath, Neiman และ Tang ซึ่งใช้ข้อมูลราคาจากสำนักสถิติแรงงานสหรัฐ เกี่ยวกับการนำเข้าจากจีน พบว่าภาระภาษีนำเข้าตกอยู่กับผู้นำเข้าสหรัฐเกือบทั้งหมด โดยภาระภาษีบางส่วนได้ถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภคสหรัฐ เช่น กรณีเครื่องซักผ้า ในขณะที่บางส่วนถูกแบกรับโดยบริษัทผู้นำเข้าผ่านการลดอัตรากำไร จึงทำให้ผลกระทบโดยตรงต่อเงินเฟ้ออาจมีไม่มากเท่าที่ตลาดคาดไว้ในตอนต้น นอกจากนี้การศึกษาของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติ (NBER)
ยังชี้ว่าการเพิ่มกำแพงภาษีทำให้รายได้ที่แท้จริงของประชากรสหรัฐ ลดลงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ส่งผลให้เกิดการสูญเสียสวัสดิการทางเศรษฐกิจ (Welfare Losses) รวมถึงทำให้ภาครัฐต้องมีการช่วยเหลือมากขึ้น สังเกตจากเงินอุดหนุนภาครัฐในช่วงที่ขึ้นภาษีนำเข้าปรับตัวขึ้นถึง 7.85 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาส 4 ปี 2561 สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 5.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ผลกระทบต่อผู้ผลิตมีความหลากหลาย โดยมีทั้งผู้ได้และเสียประโยชน์ ผู้ผลิตบางรายในสหรัฐ และจีนที่แข่งขัน กับสินค้านำเข้าที่ได้รับผลกระทบจากภาษีในตลาดภายในประเทศ รวมถึงผู้ส่งออกจากประเทศที่ 3 อาจได้รับประโยชน์ อย่างไรก็ตามผู้ผลิตในสหรัฐ และจีนที่ผลิตสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาษี รวมถึงผู้ผลิตที่ใช้สินค้าเหล่านั้นเป็นวัตถุดิบ อาจเป็นผู้สียประโยชน์ การเบี่ยงเบนเส้นทางการค้าเป็นหนึ่งในช่องทางที่ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิต ข้อมูลการค้าทวิภาคีรวมของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าเกิดการเบี่ยงเบนเส้นทางการค้า โดยการลดลงของการนำเข้าจากจีนดูเหมือนจะถูกชดเชยด้วยการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าจากประเทศอื่นตัวอย่าง เช่น การนำเข้าของสหรฐั จากเม็กซิโกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในสินค้าบางรายการที่สหรัฐ เรียกเก็บภาษี หลังจากที่รายการสินค้ามูลค่า 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม การลดลงอย่างรวดเร็วของการนำเข้าจากจีนถูกชดเชยด้วยการเพิ่มขึ้นจากเม็กซิโกในมูลค่าที่ใกล้เคียงกัน ทำให้การนำเข้ารวมของสหรัฐ ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของสัดส่วนตลาดนำเข้าในปี 2562
สรุปแม้ว่าภาษีนำเข้าจะมีผลกระทบต่อราคาและต้นทุนของธุรกิจ แต่เฟดอาจไม่ตอบสนองโดยทันที หากผลกระทบของภาษีจำกัดอยู่แค่การปรับราคาสินค้าแบบครั้งเดียว เฟดมีแนวโน้มจะปล่อยให้ตลาดปรับตัวเอง แต่หากภาษีศุลกากรนำไปสู่แรงกดดันเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะผ่านกลไกค่าจ้าง หรือทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะสูงขึ้นในระยะยาว เฟดอาจต้องปรับนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ ดังนั้นการวิเคราะห์ผลกระทบของภาษีนำเข้าไม่สามารถมองเพียงมิติของความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในทันที แต่ต้องพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจในภาพรวมหลาย ๆ มิติควบคู่กันไป ซึ่งขณะนี้ยังเร็วไปที่จะปรับเปลี่ยนคาดการณ์ เราจึงยังคงมุมมองว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่มากกว่าที่ตลาดคาด