วันมหิดล : ฉีดวัคซีน 1 ล้านโดส ถวายเป็นพระราชกุศล
ข่าววันนี้ กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าฉีดวัคซีนโควิดให้ได้ 1 ล้านโดส เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันมหิดล (24 ก.ย.) ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก โดยนับตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. - 23 ก.ย. 2564 มีผู้รับวัคซีนสะสมทั้งหมด จำนวน 47,296,431 โดส แยกเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 256,541 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 369,868 ราย และเข็มที่ 3 จำนวน 487 ราย จากจำนวนประชากรทั้งประเทศราว 66 ล้านคน
การระดมฉีดวัคซีนในวันนี้มีขึ้นท่ามกลางประเด็นข้อถกเถียงเรื่องวัคซีนที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทั้งในเรื่องการจัดซื้อจัดหา และการรับบริจาควัคซีนจากสหรัฐฯ
เมื่อ 23 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถ้อยแถลงผ่านการประชุมทางไกล การประชุมสุดยอดว่าด้วยการยุติการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการฟื้นตัวกลับมาดีขึ้น (Global COVID-19 Summit : Ending the Pandemic and Building Back Better) ซึ่งเป็นงานหนึ่งของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 76 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง โดยย้ำว่าไทยได้กำหนดให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ และจะฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนอย่างน้อยร้อยละ 70 ภายในปีนี้
ความพยายามของไทยในการฉีดวัคซีนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายยังรวมถึงการฉีดวัคซีนไขว้ ซึ่งล่าสุด ศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เผยแพร่ผลการศึกษาการฉีดวัคซีนไขว้ เทียบกับการฉีดด้วยวัคซีนชนิดเดียวกัน พบว่า
- การฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาแล้วตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ได้ระดับภูมิคุ้มกันสูงสุด
- การฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้วตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์ ได้ระดับภูมิคุ้มกันดีรองลงมาเป็นอันดับ 2
- การฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้วตามด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา ได้ระดับภูมิคุ้มกันดีรองลงมา
นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าการฉีดวัคซีนซิโนแวคเป็นเข็มแรก ตามด้วยวัคซีนยี่ห้อแอสตราเซเนกา หรือไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 ก็สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ทั้งนี้ เห็นว่าการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเป็นเข็มแรก ควรตามด้วยวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 แต่เห็นว่าควรมีการศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อยืนยันภูมิคุ้มกันจากการศึกษานี้