“คะแนนนิยม” สะสมจากท้องถิ่น? เกมลึกพรรคใหญ่ สู้ศึกเลือกตั้งเทศบาล

วิเคราะห์ยุทธศาสตร์พรรคใหญ่ในศึกนายกเทศมนตรี 11 พฤษภาคม 2568
การเลือกตั้งเทศบาลที่กำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2568 เป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นที่ดูเหมือนจะห่างไกลจากการเมืองระดับชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สนามนี้กลับถูกจับตาในฐานะสมรภูมิแรกของการช่วงชิงอำนาจเชิงโครงสร้าง
พรรคการเมืองระดับประเทศหลายพรรคต่างเข้าร่วมแข่งขันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และกลุ่มการเมืองที่เคยเกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกล ซึ่งแต่ละพรรควางหมากอย่างมีแบบแผน ทั้งการส่งผู้สมัครตรง การสนับสนุนกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ ไปจนถึงการส่งทีมแกนนำระดับประเทศลงพื้นที่ช่วยหาเสียงด้วยตนเอง
การแข่งขันที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่การแย่งเก้าอี้นายกเทศมนตรีหรือสมาชิกสภาเทศบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นเกมระยะยาวเพื่อเตรียมฐานกำลังสำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ องค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และระดับรัฐบาลในอนาคต
พรรคเพื่อไทยวางแนวรับในฐานที่มั่นภาคเหนือและอีสาน
พรรคเพื่อไทยยังคงรักษายุทธศาสตร์เดิม คือป้องกันฐานเสียงในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ที่มีความเชื่อมโยงกับตระกูลการเมืองท้องถิ่นที่แนบแน่น
ในเทศบาลนครเชียงใหม่ พรรคสนับสนุนให้นายอัศนี บูรณุปกรณ์ ลงป้องกันตำแหน่งเดิม โดยมีการลงพื้นที่ช่วยหาเสียงจากนายทักษิณ ชินวัตร และ สส. เขตในนามพรรคเพื่อไทย เพื่อยืนยันจุดยืนว่าพรรคยังต้องการรักษาพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญแห่งนี้ไว้
คู่แข่งคนสำคัญในสนามนี้คือ นายธีรวุฒิ แก้วฟอง ผู้สมัครจากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่ที่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่และกลุ่มเมือง
ขณะที่ในเทศบาลนครอุดรธานี พรรคเพื่อไทยยังคงส่งทีมบริหารชุดเดิมลงแข่งขันในพื้นที่ที่เคยเป็นฐานเสียงของพรรคในระดับ สส. มาก่อน โดยต้องเผชิญกับคู่แข่งที่เป็นกลุ่มอิสระและแนวร่วมจากพรรคใหม่ที่เริ่มแทรกตัวเข้าในเมืองหลักของอีสาน
เทศบาลเมืองมหาสารคาม ขอนแก่น และอุบลราชธานี ก็อยู่ในเงื่อนไขใกล้เคียงกัน โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการรักษาอิทธิพลในเมืองที่มีบทบาททางเศรษฐกิจและการเมืองของแต่ละภาค
พรรคประชาชนเดินหน้าสร้างฐานใหม่ในเขตเมือง
พรรคประชาชนซึ่งสืบทอดแนวคิดและโครงสร้างเดิมจากพรรคก้าวไกล เลือกวางกลยุทธ์ปักธงในเขตเมืองที่มีประชากรแออัด มีสัดส่วนผู้ใช้สิทธิสูง และมักเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ง่าย
ในเทศบาลนครรังสิต จังหวัดปทุมธานี พรรคส่งนายภิรายุ มารศรี ลงสมัครแข่งขันกับร้อยตำรวจเอกตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง ซึ่งเป็นบุตรชายของพลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง แกนนำบ้านใหญ่ในจังหวัด
อีกหลายพื้นที่ที่พรรคประชาชนให้ความสำคัญ ได้แก่ เทศบาลเมืองเลย เทศบาลนครเชียงราย และเทศบาลขนาดกลางในภาคเหนือและภาคอีสาน โดยพรรคเน้นผู้สมัครรุ่นใหม่ที่มีภาพลักษณ์ทันสมัย มีแนวคิดเปิดกว้าง และกล้าทำงานเชิงนโยบาย
การแข่งขันในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำหรับพรรคในการสร้างเครือข่ายระดับเทศบาลและยกระดับไปสู่การป้อนบุคลากรเข้าสู่สนาม สส. ในอนาคต
บ้านใหญ่และกลุ่มการเมืองท้องถิ่นยังรักษาพื้นที่ได้มั่นคง
ขณะที่พรรคการเมืองระดับชาติเดินเกมลงสนามชัดเจน แต่กลุ่มบ้านใหญ่ กลุ่มทุนท้องถิ่น และนักการเมืองสายอิสระยังคงรักษาอิทธิพลในระดับเทศบาลไว้ได้จำนวนมาก
ในเทศบาลนครนครราชสีมา การแข่งขันเกิดขึ้นระหว่างผู้สมัครจากพรรคชาติพัฒนา กลุ่มท้องถิ่นทีมโคราชบ้านเอง และผู้สมัครใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มการเมืองรุ่นใหม่
ในเทศบาลเมืองป่าตอง จังหวัดภูเก็ต การแข่งขันเข้มข้นระหว่างผู้สมัคร 3 ทีมใหญ่ ซึ่งต่างมีสายสัมพันธ์กับอดีตนักการเมืองระดับประเทศ และเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนท้องถิ่นที่มีบทบาทสำคัญในเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้
ธัญบุรี ปทุมธานี ตัวอย่างการเมืองเชิงเครือข่ายของบ้านใหญ่
อีกหนึ่งพื้นที่ที่ถูกจับตามองคือเทศบาลเมืองธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีฐานคะแนนเสียงหนาแน่น และเป็นที่มั่นของกลุ่มบ้านใหญ่ที่มีบทบาททางการเมืองมายาวนาน
ครอบครัวหลีนวรัตน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อบ้านใหญ่ธัญบุรี ยังคงรักษาอำนาจในระดับเทศบาลไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นางยุพเยาวย์ หลีนวรัตน์ หรือรองน้ำอ้อย ภรรยาของนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ อดีตนายกเทศมนตรี กลับมาลงสมัครในตำแหน่งเดิม ขณะที่นายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ บุตรชาย ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาเทศบาลในพื้นที่เดียวกัน
แม้กลุ่มนี้ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใดโดยตรง แต่มีความสัมพันธ์กับพรรคระดับชาติหลากหลายพรรคในอดีต และมีศักยภาพในการขับเคลื่อนการเมืองเชิงพื้นที่ได้อย่างมั่นคง
กรณีธัญบุรีเป็นตัวอย่างของการเมืองท้องถิ่นที่ยังขับเคลื่อนด้วยเครือข่ายครอบครัว การลงพื้นที่ต่อเนื่อง และความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับชุมชน
ทำไมพรรคใหญ่ต้องลงทุนในสนามเทศบาล
การเลือกตั้งเทศบาลไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการจัดการบริการพื้นฐานในชุมชน แต่ยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการเมืองระดับรากฐาน ที่เชื่อมโยงกับการบริหารระดับจังหวัด และสามารถต่อยอดไปสู่การเมืองระดับประเทศได้โดยตรง
ผู้ชนะในการเลือกตั้งเทศบาล เช่น นายกเทศมนตรีหรือสมาชิกสภาเทศบาล จะมีอำนาจในการจัดทำงบประมาณท้องถิ่น ออกเทศบัญญัติ และดูแลการบริการสาธารณะ ซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำชุมชนที่ประชาชนเข้าถึงได้มากที่สุด
พรรคการเมืองระดับชาติจึงมองเทศบาลเป็นทั้งฐานหัวคะแนน กลไกถ่ายทอดนโยบาย และเวทีฝึกฝนนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่อาจก้าวขึ้นสู่การเมืองระดับ สส. หรือผู้บริหารท้องถิ่นในระดับจังหวัด
หลายพรรคยังใช้เทศบาลเป็นพื้นที่นำร่องนโยบาย เช่น ระบบจัดการขยะมูลฝอย การดูแลผู้สูงอายุในชุมชน หรือรูปแบบสวัสดิการท้องถิ่นก่อนเสนอในระดับชาติ
การมีเครือข่ายเทศบาลที่เข้มแข็งจึงช่วยให้พรรคการเมืองมีรากฐานทางการเมืองที่ยั่งยืน สร้างการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มโอกาสในการชนะการเลือกตั้งในระดับที่สูงขึ้นในอนาคต
นายกเทศมนตรีวันนี้อาจเป็นนักการเมืองระดับชาติในวันหน้า
สนามเลือกตั้งเทศบาลครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการเลือกผู้บริหารพื้นที่ แต่คือการชี้ว่า พรรคการเมืองใดสามารถรักษาพื้นที่เดิมไว้ได้ พรรคใดสามารถขยายตัวเข้าสู่พื้นที่ใหม่ และกลุ่มบ้านใหญ่ใดจะรักษาอิทธิพลไว้ต่อไปได้
การเมืองท้องถิ่นกำลังกลายเป็นฐานของการเมืองระดับชาติ
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจึงควรเข้าใจว่า การใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของตำบลหรืออำเภอ แต่เป็นการมีส่วนร่วมในการกำหนดยุทธศาสตร์ทางการเมืองของประเทศในอนาคต