รีเซต

"อินเดีย" โตแรง จ่อขึ้นเบอร์ 4 เศรษฐกิจโลก แต่รายได้ยังเหลื่อมล้ำ

"อินเดีย" โตแรง จ่อขึ้นเบอร์ 4 เศรษฐกิจโลก แต่รายได้ยังเหลื่อมล้ำ
TNN ช่อง16
4 มิถุนายน 2568 ( 08:00 )
15

อินเดีย กำลังจะแซงหน้าญี่ปุ่นได้สำเร็จ กำลังจะขึ้นแท่นประเทศใหญ่เบอร์ 4 เศรษฐกิจโลก

ภายในสิ้่นปีนี้ ด้วยจีดีพีกว่า 4.19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

เท่ากับว่าจะเป็นรองเพียงแค่ 3 ประเทศเท่านั้น ก็คือ 

เบอร์ 1 สหรัฐ / เบอร์ 2 จีน  / เบอร์ 3 เยอรมนี   


ข้อมูลนี้อ้างอิงจากทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก 

(World Economic Outlook) ฉบับเดือนเมษายน 2568 

ซึ่งระบุตัวเลขว่า อินเดียจะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศ

ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกในปีนี้ ปี 2568 

นับว่าเป็นแซงหน้าญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 

ด้วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

คิดเป็นมูลค่า 4.187 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ  

ปาดหน้าประเทศญี่ปุ่นที่มีจีดีพีมูลค่าประมาณ 4.186 ล้านล้านดอลาร์สหรัฐ

ซึ่งถือว่าห่างกันเพียงแค่นิดเดียว 


IMF คาดว่า 10 อันดับแรกประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก ปี 2568

ได้แก่ 

ประเทศ            มูลค่า GDP (ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ)

1.สหรัฐอเมริกา        30.507

2.จีน                      19.231

3.เยอรมัน               4.744

4.อินเดีย                 4.187

5.ญี่ปุ่น                   4.186

6.สหราชอาณาจักร    3.839

7.ฝรั่งเศส             3.211

8.อิตาลี                2.422

9.แคนาดา            2.225

10.บราซิล            2.125

แหล่งข้อมูล: IMF World Economic Outlook April 2025


นอกจากนี้ทิศทางการเติบโตในอนาคตของอินเดียยังค่อนข้างจะสดใส

เมื่อดูจากรายงานฉบับนี้ระบุว่าเศรษฐกิจของอินเดียยังคงเติบโตในอัตราที่สูงกว่า

ประเทศอื่น ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจด้วย โดยคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย

ในปีนี้ 2568  จะอยู่ที่ 6.2 % 

ซึ่งเป็นตัวเลขที่โดนหั่นหรือว่าโดนปรับลดลงมาแล้ว ซึ่งจากเดิมเมื่อต้นปีเดือนมกราคา 

ประเมินไว้ 6.5 % เนื่องมาจากเกิดความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก

และความตึงเครียดทางการค้า โดยเฉพาะหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ 

ได้ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ ทำให้หลายประเทศโดนปรับลดการคาดการณ์

การเติบโตในปีนี้ลง รวมถึงประเทศไทย เพราะมีความเสี่ยงจากการถูกขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ

แต่สำหรับอินเดียการปรับลดนับว่ายังไม่มากนัก 

ขณะที่ตัวเลขของปีหน้า และปีถัดไป IMF คาดการณ์ว่าอินเดียจะมีการเติบโตอยู่ที่ 6.3% และ 6.2% 


สาเหตุสำคัญที่ทำให้อินเดียมีความแข็งแกร่งผงาดแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นมาได้ 

มาจากเศรษฐกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีกลไกลสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนหลายด้าน 

ตั้งแต่การบริโภคภายในประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท 

พร้อมด้วยสัดส่วนประชากรวัยทำงานที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ต่างจากญี่ปุ่นที่เจอกับวิกฤตสังคมสูงวัย  

และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเองก็ยังมีการเดินหน้าอย่างต่อเนื่องด้วย


นอกจากนี้ อินเดียอาจจะไม่หยุดเพียงแค่ตำแหน่งที่ 4 แต่อาจเขยิบไปถึงที่ 3 ของโลก

เพราะ IMF ยังคาดอีกว่าในอีก 2  ปีข้างหน้านี้ (ภายในปี 2570) 

เศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโตมากถึง 5,580 พันล้านเหรียญสหรัฐ 

และกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ภายในปี 2571 

แซงหน้าเยอรมนี ซึ่งขณะนี้ประสบภาวะชะลอตัวจากผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้าในยุโรป






"อินเดีย" รายได้กระจุก เหลื่อมล้ำสูง?


อย่างไรก็ตามแม้ว่าวันนี้อินเดียจ่อขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 4 ของโลก

แต่ถ้าหากเรามองเจาะไปที่ตัวเลขรายได้ต่อหัวของคนอินเดีย

ปรากฎว่าเฉลี่ยออกมาแล้วยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก 

ไม่ติดอันดับ 100 ของโลกด้วยซ้ำไป 

และยิ่งเมื่อนำไปเทียบกับชาติระดับท้อปอื่นๆ 

อย่างเช่น จีน ที่มีก็มีประชากรเยอะเช่นกัน  กลับทำได้ดีกว่ามาก 


การไต่ขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจระดับท็อปของโลกถือเป็นข่าวดี

แต่สำหรับคนอินเดียเองกลับไม่ได้มองแค่เรื่องนั้น 

อ้างอิงจากรายงานข่าวของ South China Morning Post 

ระบุว่าเกิดเสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้ง เพื่อรองรับการเติบโต

และเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศมากขึ้น

โดยเฉพาะความเห็นจากภาคธุรกิจในอินเดีย ที่ออกมาเรียกร้องขอให้ทางการ

ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและเพิ่มแรงจูงใจทางการเงินต่างๆ เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ


บีวีอาร์ สุบรามันยัม (BVR Subrahmanyam ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ 

สถาบันแห่งชาติเพื่อการปฏิรูปอินเดีย (Niti Aayog) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยของรัฐบาลอินเดีย 

ได้กล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียนั้น เป็นผลมาจากสภาวะทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เอื้ออำนวย 

พร้อมด้วยปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศที่แข็งแกร่ง 

และยังเป็นประเทศที่มีความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้น ภายใต้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก 

จากรูปแบบการค้าที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป


แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรไปยังทั่วโลก

และจัดหนักในประเทศคู่ค้าที่เกินดุลการค้าด้วย โดยประเทศอินเดียนั้นถูกทรัมป์เรียกเก็บที่อัตรา 26 %  

ซึ่งถือว่ายังน้อยกว่าหลายชาติ โดยเฉพาะจีนที่โดนเรียกไปกว่า 100% 

ก่อนจะมีการปรับลดลงชั่วคราวในเวลานี้ 

และนักวิเคราะห์เองก็มองว่าอินเดียกำลังจะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้แน่นอน  


ความเห็นจากนักธุรกิจมหาเศรษฐีของอินเดีย อานันท์ มหินทรา (Anand Mahindra)  

เรียกร้องขอให้มีการเพิ่มการเติบโตของ GDP ของประเทศ โดยที่รวมไปถึง

ตัวเลข GDP ต่อหัวด้วย


มหินทรา ระบุในโพสต์บน X บอกว่า

 "ตอนที่ผมเรียนอยู่ในโรงเรียนธุรกิจ ความคิดที่ว่าอินเดียจะแซงหน้าญี่ปุ่นในด้าน GDP 

ดูเหมือนเป็นความฝันอันห่างไกลและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย"

“แต่ในขณะที่เราเฉลิมฉลอง เราต้องไม่พึงพอใจ

เพราะการก้าวกระโดดครั้งต่อไปของอินเดียจะต้องเป็นการเพิ่ม GDP ต่อหัว 

ไม่ใช่แค่แซงหน้าเยอรมนี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกเท่านั้น 

หากต้องการให้อินเดียเติบโตต่อไปได้ 

อินเดียต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง 

ไม่ว่าจะเป็นในด้านการปกครอง 

โครงสร้างพื้นฐาน การผลิต การศึกษา และการเข้าถึงเงินทุนด้วย”


อย่างไรก็ตามโพสต์ของเขาได้จุดชนวนให้เกิดดราม่าในโซเชียล

มีการถกเถียงเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกันของอินเดีย 

โดยชาวเน็ตชี้ให้เห็นว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก 1,400 ล้านคน

และมีจีดีพี หรือรายได้ต่อหัวอยู่เพียงแค่ประมาณ  2,800 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น 

และเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นที่กำลังจะถูกแซง

ปรากฎว่ามีจีดีพีต่อหัวอยู่ที่เกือบ 4 หมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อคน 

จากประชากรของญี่ปุ่นซึ่งมีอยู่ 124 ล้านคน  

ขณะที่ประเทศจีน เศรษฐกิจเบอร์ 2 ของโลก มีรายได้ต่อหัวอยู่ที่  13,690 ดอลลาร์สหรัฐ

มุมมองเรื่องนี้ จากทาง ดร.นาชาด ฟอร์บส์ ประธานองค์กรไม่แสวงหากำไร 

อนันตา แอสเพน เซ็นเตอร์ Ananta Aspen Centre กล่าวว่า 

เส้นทางยังอีกยาวไกลที่จะไปถึงเป้าหมายการยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น

และมองว่าอินเดียควรพยายามยกระดับผลผลิตด้วยการลงทุนในทุนมนุษย์ให้มากขึ้น

และมุ่งเน้นไปที่การเติบโตของอุตสาหกรรมและบริการให้มากขึ้น 

โดยระบุว่าที่ผ่านมาการที่เศรษฐกิจอินเดียไต่อันดับขึ้นในระดับโลกนั้น ได้รับความช่วยเหลือส่วนหนึ่ง

จากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างยิ่งของธนาคารกลางญี่ปุ่นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินเยนลดลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ


ที่สำคัญ คือ อินเดียนั้นมีเป้าหมายที่จะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายใน 22 ปีหลังจากนี้ 

หรือภายในปี 2590  (2047)

 ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจึงเรียกร้องให้รัฐบาลนั้นเร่งดำเนินการ

และเพิ่มความพยายามในหลาย ๆ ด้านเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว


สุโพธ ภาร์กาวา (Subodh Bhargava) อดีตประธานสมาพันธ์อุตสาหกรรมอินเดีย ( Confederation of Indian Industries : CII) 

กล่าวว่า เศรษฐกิจอินเดียกำลังพัฒนาและจะค่อยๆ เติบโตต่อไปอีก

ดังนั้นรัฐบาลและพวกเราทุกคนไม่ควรนิ่งนอนใจ อินเดียจำเป็นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้จ่าย 

ลดขั้นตอนราชการเพื่อกระตุ้นการลงทุน  และเพิ่มแรงจูงใจทางการเงินให้กับธุรกิจต่างๆ 

เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในภาคการส่งออก 


ประเทศอินเดียใช้เวลาเพียงแค่ 11 ปี ในการเขยิบขึ้นมาจากอันดับ 10 ของโลก

มาจ่อขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 4 ของโลกได้สำเร็จแล้ว 

และอีกไม่นานก็จะไปถึงเบอร์ 3 ได้ด้วย 

ถือเป็นช่วงเวลาทองที่น่าจับตา และถอดรหัสความสำเร็จ 

แถมช่วงเวลานี้ การค้าโลกอยู่ภายใต้นโยบายการค้าของทรัมป์ผู้นำสหรัฐฯ  

อินเดียเองก็น่าจะได้รับโอกาสอีกหลายอย่างที่จะมาแทนที่จีนได้อีกด้วย  

ข่าวที่เกี่ยวข้อง