รีเซต

ปี 2569 EV 116 ล้านคันครองถนนทั่วโลก

ปี 2569 EV 116 ล้านคันครองถนนทั่วโลก
TNN ช่อง16
19 ธันวาคม 2568 ( 11:06 )
15

ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดหลายปี และมีแนวโน้มที่ปี 2569 ก็จะยังเป็นปีที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายมากมาย รายงานของบริษัทวิจัยข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกิจ “การ์ทเนอร์” (Gartner) ประเมินว่า จำนวนรถ EV ในปี 2569 ซึ่งครอบคลุมรถยนต์ รถบัส รถตู้ และรถบรรทุก น่าจะอยู่ที่ 116.2 ล้านคัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จาก 89.5 ล้านคันในปี 2568 สะท้อนถึงการเติบโตแม้ว่าจะเผชิญผลกระทบจากสงครามการค้าที่สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้ารถและชิ้นส่วน EV รวมถึงการสนับสนุนจากภาครัฐของประเทศต่าง ๆ ที่ลดลง แรงกดดันจากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และค่าครองชีพที่สูงขึ้นกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค

รายงานระบุด้วยว่า รถ EV แบบที่ใช้แบตเตอรี่ล้วน (battery-electric vehicle-BEV) จะยังมีบทบาทนำ โดยจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 59.48 ล้านคัน ในปีนี้ เป็นกว่า 76.34 ล้านคัน ในปีหน้า หรือเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 28 ส่วนรถ EV ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก (plug-in hybrid-PHEV) จะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าเล็กน้อย มีแนวโน้มจะเพิ่มจาก 30.07 ล้านคัน ในปีนี้ อยู่ที่กว่า 39.83 ล้านคัน ในปีหน้า หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32 ขณะที่รถแบตเตอรี่ล้วนมีแนวโน้มจะครองส่วนแบ่งตลาดรถ EV ในปี 2569 อยู่ที่ร้อยละ 63 ลดลงจากร้อยละ 77 ที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ 


ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า ถึงแม้รถแบตเตอรี่ล้วนจะยังคงครองตลาด EV มากกว่าครึ่ง แต่ผู้บริโภคจำนวนมากกำลังหันไปใช้รถไฮบริดแบบเสียบปลั๊กมากขึ้น สาเหตุหลัก ๆ มาจากความกังวลเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จไฟที่ยังไม่ครอบคลุม ระยะทางในการขับขี่ และค่าไฟที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การกลับมาได้รับความนิยมของรถไฮบริดเสียบปลั๊กถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในภูมิทัศน์อุตสาหกรรม EV ทั่วโลก เนื่องจากหลาย ๆ ตลาด โดยเฉพาะยุโรป กำลังมุ่งหน้าสู่การใช้รถ EV แบบแบตเตอรี่ล้วนอย่างเต็มรูปแบบ รัฐบาลหลายประเทศได้ทยอยยกเลิกมาตรการจูงใจสำหรับรถยนต์ไฮบริดเสียบปลั๊ก และเพิ่มความเข้มงวดเกี่ยวกับกฎระเบียบด้านการปล่อยมลภาวะ แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เริ่มสั่นคลอนจากการติดตั้งสถานีชาร์จเร็วที่ยังไม่สม่ำเสมอ และค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสำหรับรถ EV แบบแบตเตอรี่ที่สูงกว่าไฮบริด อาทิ การติดตั้งระบบชาร์จและค่าใช้จ่ายจิปาถะ ทำให้รถไฮบริดแบบเสียบปลั๊กกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง เพราะผู้ซื้อรู้สึกอุ่นใจกับการมีเครื่องยนต์เบนซินสำรองไว้ใช้ในกรณีที่จำเป็น


แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนผ่านการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของผู้ผลิตรถยนต์หลายราย ซึ่งตัดสินใจชะลอหรือเลื่อนแผนพัฒนารถ EV ที่ใช้แบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวออกไปก่อน และหันมาให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก หรือรถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบผสมผสานแทน ซึ่งการใช้เครื่องยนต์ลูกผสมเหล่านี้ก็ช่วยให้บรรดาค่ายรถทำตามกฎระเบียบด้านการปล่อยมลพิษของภาครัฐได้ ควบคู่ไปกับช่วยให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนจากการใช้รถเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันล้วนแบบค่อยเป็นค่อยไป

รายงานล่าสุดของ “การ์ทเนอร์” ระบุด้วยว่า “จีน” ยังคงครองความเป็นผู้นำในตลาดรถ EV โลกอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2569 จีนจะมีสัดส่วนของรถ EV มากถึงร้อยละ 61 ของรถ EV ทั้งหมดที่วิ่งบนท้องถนนทั่วโลก พร้อมกันนี้ ยังปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการรถ EV ในจีนปี 2569 อยู่ที่ 16.5 ล้านคัน เพิ่มจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 13.4 ล้านคัน 


ความเป็นผู้นำในตลาด EV ของจีนเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ ห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ที่ครบวงจรและครอบคลุม แบรนด์รถยนต์ท้องถิ่นที่ราคาไม่ไกลเกินเอื้อม การแข่งขันของค่ายรถที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้บริโภค ประกอบกับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง แม้จะดำเนินการแบบมีเป้าหมายมากขึ้นในระยะหลัง ๆ ซึ่งแตกต่างจากประเทศตะวันตกที่ยังถกเถียงเกี่ยวกับมาตรการจูงใจและเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะที่ระบบนิเวศรถ EV ของจีนยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกรถ EV ก็ขยายตัวแม้จะเผชิญกับอุปสรรคทางการค้าใหม่ ๆ 


จีนยังคงเป็นตลาดรถ EV ขนาดใหญ่สุดและมีการแข่งขันดุเดือดมากที่สุดในโลก แต่บทบาทที่โดดเด่นของจีนก็เร่งให้เกิดความตึงเครียดทางการเมืองตามมา โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรปที่ใช้มาตรการภาษีหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจะใช้เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่รถ EV ที่ผลิตในจีน ไม่ว่าจะจำหน่ายในประเทศหรือส่งออกจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตของตลาด EV ทั่วโลกในปี 2569 และหลังจากนั้น


รายงานชี้ว่า ยอดขาย EV กำลังอิ่มตัว (maturing) ไม่ใช่ชะลอตัว ขณะเดียวกันก็มีความหลากหลายมากขึ้น และไม่ได้พึ่งพาการส่งเสริมจากภาครัฐมากเหมือนเมื่อก่อน อย่างกรณีที่ผู้ใช้หันไปสนใจรถไฮบริดแบบเสียบปลั๊กมากขึ้น แสดงถึงการลงมือทำแบบรอบคอบ ไม่ใช่ความไม่สนใจ ซึ่งงานวิจัยด้านอุตสาหกรรมยานยนต์หลายชิ้นสะท้อนว่า ผู้ซื้อกำลังมองหาตัวเลือกยานพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสอดคล้องกับพฤติกรรมการขับขี่ โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ และต้นทุนพลังงานในภูมิภาค 


ในตลาดกำลังพัฒนาหลายแห่ง กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะรถโดยสารไฟฟ้าและรถขนส่งสินค้าในเมือง ยังคงขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเมืองต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศมากขึ้น และผู้ประกอบการขนส่งก็มองหาวิธีที่จะสร้างความคุ้มค่าในระยะยาว ซึ่งกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วนที่สำคัญสำหรับจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนน แม้ว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคลยังคงมีจำนวนมากกว่า

อย่างไรก็ตาม การติดตั้งสถานีชาร์จยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความต้องการของผู้บริโภค หากพื้นที่ใดโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จเร็วไม่เสถียร ไม่รวดเร็ว หรือไม่ครอบคลุม ผู้ขับขี่มีแนวโน้มที่จะเลือกรถไฮบริดมากกว่า โดยเฉพาะในยุโรปซึ่งการติดตั้งสถานีชาร์จมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศ 


ล่าสุด สหภาพยุโรป (EU) มีท่าทีผ่อนปรนเป้าหมายที่กำหนดให้รถยนต์ใหม่ที่วางขายเป็น EV ทั้งหมด ภายในปี 2578 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากอุตสาหกรรมรถยนต์ ท่ามกลางความต้องการ EV ที่เพิ่มขึ้นช้ากว่าที่คาดไว้ และจำเป็นต้องใช้เวลามากขึ้นในการเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่พลังงานไฟฟ้าล้วน ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวทำให้เกิดความไม่แน่นอน แต่ไม่ได้ลดทอนแนวโน้มความต้องการในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ 


ข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา “อิโนเวฟ” (Inovev) ระบุว่า ยอดขาย EV ในแต่ละประเทศของยุโรปยังแตกต่างกันมาก โดย “นอร์เวย์” เป็นผู้นำในตลาดรถ EV เนื่องจากรัฐบาลใช้กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่ได้เงินมาจากอุตสาหกรรมน้ำมันสำหรับนำไปอุดหนุนรถ EV และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จ ทำให้ยอดขายรถ EV ในนอร์เวย์สูงถึงร้อยละ 94 ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 เช่นเดียวกับรัฐบาลในประเทศนอร์ดิกอื่น ๆ อาทิ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวีเดน รวมถึงประเทศในยุโรปตอนเหนือและตะวันตกที่มียอดขาย EV ในสัดส่วนที่สูง แต่ในยุโรปตอนใต้และตะวันออกนั้นเป็นไปอย่างล่าช้ากว่า เนื่องจากรถ EV มีราคาแพงสำหรับผู้ซื้อจำนวนมาก และปัญหาเรื่องสถานีชาร์จ กรณีของ “โครเอเชีย” มียอดขาย EV เพียงร้อยละ 1 ของรถทั้งหมดเท่านั้น


ขณะที่ “อาเซียน” เป็นอีกตลาดที่ไม่อาจมองข้าม รายงานล่าสุดของสถาบันวิจัยด้านพลังงาน “เอมเบอร์” (Ember) ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พบว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีสัดส่วนยอดขาย EV สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยสัดส่วนยอดขายรถ EV เมื่อเทียบกับยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลใหม่ในสิงคโปร์ เวียดนาม ไทย และอินโดนีเซีย สูงกว่าตลาดรถยนต์ดั้งเดิมอย่างสหรัฐฯ EU และอังกฤษ


อาเซียนมีส่วนเร่งเครื่องการใช้รถ EV ในตลาดโลก สิงคโปร์มีสัดส่วนยอดขายรถ EV ประมาณร้อยละ 45 ของยอดขายรถใหม่ทั้งหมดในปีนี้ ตามด้วยเวียดนามที่ร้อยละ 37.9 แซงหน้าอังกฤษและ EU ด้านอินโดนีเซียมีสัดส่วนร้อยละ 14.6 แซงหน้าสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ขณะที่ไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 21 และมียอดขายรถ EV ใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 มากกว่าเดนมาร์ก การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าภูมิภาคนี้กำลังก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้นำตลาดอย่างรวดเร็ว


รายงานชี้ว่า ตลาดเกิดใหม่จะเป็นผู้กำหนดอนาคตของตลาดรถยนต์ทั่วโลก และการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ รวมถึงมาตรการสนับสนุนในระยะเริ่มต้นจะเป็นตัวกำหนดว่าแรงเหวี่ยงนี้จะดำเนินต่อไปเร็วแค่ไหน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง