รีเซต

คดียุบพรรคก้าวไกล: จากนโยบายสู่วันชี้ชะตา

คดียุบพรรคก้าวไกล: จากนโยบายสู่วันชี้ชะตา
TNN ช่อง16
29 กรกฎาคม 2567 ( 14:29 )
13
คดียุบพรรคก้าวไกล: จากนโยบายสู่วันชี้ชะตา

วันที่ 7 สิงหาคม 2567 เป็นวันสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุด แต่ก่อนจะถึงวันนี้ มีเหตุการณ์สำคัญมากมายที่เกิดขึ้น นำมาสู่การพิจารณาคดีดังกล่าว


จุดเริ่มต้น: การเสนอแก้ไขมาตรา 112


วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 พรรคก้าวไกลเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 ต่อประธานรัฐสภา เป็นส่วนหนึ่งของชุดร่างกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน จำนวน 5 ฉบับ นโยบายนี้กลายเป็นประเด็นสำคัญในการหาเสียงของพรรคในเวลาต่อมา โดยพรรคเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายที่ถูกนำมาใช้ปิดปากหรือทำลายผู้เห็นต่างทางการเมืองทั้ง ม.112, 116, และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์


การร้องเรียนและการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ


วันที่ 30 พฤษภาคม 2566 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของอดีตพระพุทธอิสระ ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด กล่าวหาว่าการกระทำของนายพิธาและพรรคก้าวไกลเข้าข่ายปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว


ต่อมาในวันที่ 16 มิถุนายน 2566 นายธีรยุทธได้ยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยสั่งให้นายพิธาและพรรคก้าวไกลเลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันอาจจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


กระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ


วันที่ 12 กรกฎาคม 2566 ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของนายธีรยุทธ และให้นายพิธาและพรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงภายใน 15 วัน ซึ่งต่อมาได้มีการขยายเวลาออกไปอีก 30 วันตามคำขอ เนื่องจากมีเอกสารจำนวนมากและต้องใช้เวลาในการรวบรวม


ในช่วงวันที่ 15-22 พฤศจิกายน 2566 ศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมพิจารณาโดยการอภิปรายในคดีดังกล่าว และมีการไต่สวนพยานบุคคลในวันที่ 25 ธันวาคม 2566 โดยมีการไต่สวนพยาน 2 ปาก คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายชัยธวัช ตุลาธน


คำวินิจฉัยครั้งแรกและการยื่นคำร้องยุบพรรค


วันที่ 31 มกราคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 3/2567 โดยมีมติเอกฉันท์ว่า การกระทำของนายพิธาและพรรคก้าวไกลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ


หลังจากนั้นเพียงวันเดียว คือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 นายธีรยุทธได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน กกต. ขอให้พิจารณายุบพรรคก้าวไกล เช่นเดียวกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ขอให้ กกต. พิจารณาส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญให้มีการยุบพรรคก้าวไกลในประเด็นเดียวกัน


การดำเนินการของ กกต. และการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ


วันที่ 12 มีนาคม 2567 กกต. มีมติโดยเอกฉันท์ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


วันที่ 3 เมษายน 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องของ กกต. ไว้พิจารณา


การเตรียมพร้อมของพรรคก้าวไกล


ในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 17 เมษายน ถึง 15 พฤษภาคม 2567 พรรคก้าวไกลได้ขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 15 วัน รวมเป็นเวลา 45 วัน


วันที่ 4 มิถุนายน 2567 พรรคก้าวไกลยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ


การกำหนดวันวินิจฉัยคดี


วันที่ 17 กรกฎาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุติการไต่สวน โดยเห็นว่าคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ พร้อมกำหนดวันนัดแถลงด้วยวาจา ประชุมปรึกษาหารือ และลงมติในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 เวลา 09.30 น. และนัดฟังคำวินิจฉัยในวันเดียวกันเวลา 15.00 น.


เส้นทางจากการเสนอนโยบายแก้ไขมาตรา 112 จนถึงวันชี้ชะตาของพรรคก้าวไกล แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของกระบวนการทางกฎหมายและการเมืองในประเทศไทย คำวินิจฉัยที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่ออนาคตของพรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทยในอนาคต โดยอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรค และอาจนำไปสู่การดำเนินคดีจริยธรรมร้ายแรงกับ ส.ส. 44 คนที่ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งสังคมไทยจะต้องจับตามองและติดตามผลอย่างใกล้ชิดต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง