ศาลรัฐธรรมนูญชี้แพทองธารพ้นตำแหน่ง ความท้าทายใหม่ต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย

การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางการเมือง แต่กำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้สร้างแรงสั่นไหวต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างชาติ ซึ่งต้องการความแน่นอนในการตัดสินใจลงทุนระยะยาว

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อธิบายว่า การเปลี่ยนรัฐบาลอาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 รวมถึงโครงการลงทุนหลายรายการหยุดชะงักลง หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ผลกระทบจะยิ่งขยายตัวเพราะนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา การแก้ปัญหาความตึงเครียดชายแดน หรือการจัดการภัยพิบัติ ล้วนต้องอาศัยรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจ

ภายหลังจากนั้น เมื่อมองไปยังเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ซับซ้อน ความขัดแย้งชายแดนไทยกัมพูชาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มูลค่าการค้ารวมลดลงเหลือ 10,907.53 ล้านบาท หดตัวกว่า 32 เปอร์เซ็นต์จากเดือนก่อนหน้า และลดลงถึง 23.3 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐยังคงกดดันสินค้าหลักของไทย ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ยางพารา อัญมณี เครื่องประดับ รถยนต์และชิ้นส่วน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งทั้งหมดอาจทำให้การเติบโตของจีดีพีต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

ในช่วงเวลาเดียวกัน ภาคเอกชนต้องเตรียมรับมือด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุน พร้อมทั้งมุ่งสู่การลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก และสร้างเครือข่ายธุรกิจเพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงตลาด การบริหารความเสี่ยงเชิงรุกจึงเป็นอีกเงื่อนไขที่จำเป็น

เกรียงไกรเน้นว่าความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนคือปัจจัยชี้ขาด หากสามารถกำหนดมาตรการรองรับอย่างต่อเนื่อง แม้การเมืองยังไม่แน่นอน เศรษฐกิจไทยก็ยังมีโอกาสฟื้นตัวและสร้างความเชื่อมั่นในสายตานักลงทุนได้ ข้อความนี้ชี้ให้เห็นถึงโจทย์ใหญ่ของประเทศในเวลานี้ นั่นคือการจัดสมดุลระหว่างการเมืองที่ผันผวนกับการเดินหน้าทางเศรษฐกิจที่ต้องไม่สะดุด