“รถไฟฟ้าตลอดสาย 20 บาท” อาจไม่ได้ไปต่อ

นโยบายที่รัฐบาลกำลังเดินหน้า ถ้ารัฐบาลเปลี่ยนขั้วการเมือง พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว มีหลายนโยบายอาจไม่ได้ไปต่อ
นโยบายแรกคือ “การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ท 10,000 บาท เฟส 3” ที่ก่อนหน้านี้ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 เป้าหมายคือประชาชนอายุ 16-20 ปี ไม่เกิน 3 ล้านคน มีรูปแบบการใช้จ่ายเป็นดิจิทัล ซึ่งเดิมทีกำหนดจะแจกช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ แต่รัฐบาลเพื่อไทยมองว่าจำเป็นต้องใช้เงินมาดูแลเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนำมารับมือกับผลกระทบภาษีสหรัฐฯ จึงเลื่อนออกไปก่อน ทำให้แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทไปได้เพียง 2 เฟสคือ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่ง 2 กลุ่มนี้รับเป็นเงินโอนเข้าบัญชี
ส่วนอีกนโยบายมีแนวโน้มไม่สามารถดำเนินการไปต่อได้สูงคือ “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่กำลังเปิดให้ให้ลงทะเบียนผ่านแอปทางรัฐ มีผู้ลงทะเบียนไปแล้วประมาณเกือบ 3 แสน เดิมทีจะเริ่มใช้งานได้ต้นเดือน ต.ค. แต่มีการเลื่อนไปเดือนพ.ย. เพราะต้องรอให้กฎหมาย 3 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนี้ คือ ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง พ.ศ. … ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. (พ.ร.บ.ตั๋วร่วม) และพ.ร.บ.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2543 (พ.ร.บ.รฟม.) มีผลบังคับใช้ก่อน โดยกฎหมายเพิ่งผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 27 ส.ค.2567 และกำลังเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภา (สว.)
ต้องติดตามว่า เมื่อเป็นรัฐบาลรักษาการจะผลักดันเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร เพราะในรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ไม่สามารถดำเนินนโยบายที่ผูกพันรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งการดำเนินนโนบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนี้ จะมีผลต่อการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยให้กับเอกชนผู้รับสัมปทานสูงกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท หน่วยงานด้านเศรษฐกิจทั้ง สำนักงานงบประมาณ-สภาพัฒน์ แสดงความกังวลเรื่องภาระการคลัง หากทำจริงอาจกระทบวินัยการเงินการคลัง และทางกระทรวงการคลัง เสนอให้ชะลอโครงการไว้ก่อน จนกว่าจะมีกฎหมายรองรับชัดเจน
อีกโครงการต้องลุ้นว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร “หวยเกษียณ” ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ในขั้นตอนสุดท้ายโดยวุฒิสภา
ก่อนหน้านี้กระทรวงการคลัง คาดหวังว่า เมื่อขั้นตอนการแก้ไขกฎหมายแล้วเสร็จ จะสามารถเปิดขายได้ภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
“หวยเกณียณ” ได้รับการผลักดันจาก เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะกำกับดูแลกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
หวยเกษียณ หรือชื่อทางการคือ สลาก กอช. เป็นนวัตกรรมใหม่จะกระตุ้นให้คนออมเงิน สามารถซื้อสลากกอช. ใบละ 50 บาท มีสิทธิ์ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท โดยเงินรางวัลจะโอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์ของผู้ถูกรางวัลโดยอัตโนมัติ ส่วนเงินที่ซื้อสลากจะถูกเปลี่ยนเป็นเงินออมในบัญชี กอช. โดยนโยบายนี้ จะใช้งบประมาณสำหรับเงินรางวัลราว 760 ล้านบาทต่อปีในการจ่ายเงินรางวัลให้กับผู้ซื้อหวยเกษียณ คาดว่าสามารถดึงเม็ดเงินกลับเข้าระบบและสร้างเป็นเงินออมภาคสมัครใจได้สูงถึง 13,000 ล้านบาทต่อปี ต้องลุ้นว่าหากรัฐบาลใหม่เข้ามาและไม่ใช่พรรคเพื่อไทยโครงการนี้จะได้รับการสานต่อหรือไม่
สิ่งที่จับตา ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท โดยผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนไปแล้ว
ในวันที่ 1-2 ก.ย.นี้ วุฒิสภา(สภาสูง) ยังคงกำหนดการพิจารณาร่างงบประมาณฯ ตามเดิม ตามที่นัดหมายกันไว้ ตรงนี้อ้างอิงจากการให้สัมภาษณ์โทรทัศน์รัฐสภา ของ พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว.ฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า การประชุมวุฒิสภายังเป็นไปตามที่นัดไว้ แม้ว่าเป็นรัฐบาลรักษาการ แต่คิดว่ารัฐมนตรีรักษาการที่ต้องมานำเสนอเนื้อหาและชี้แจงนั้นไม่ติดปัญหาอะไร และเชื่อว่าจะชี้แจงได้ทุกประเด็นเพราะเป็นผู้ทำงบประมาณ ปี 2569
ขณะนี้มี สว.ลงชื่ออภิปราย ร่างกฎหมาย ประมาณ 60-70 คน และคาดว่าจะใช้เวลาอภิปรายคนละ 10 นาที ดังนั้นอาจต้องใช้เวลาพิจารณา 2 วัน ซึ่งการอภิปรายนั้นได้วางหัวข้อการอภิปรายไว้ตามสภาพปัญหา เริ่มจาก ภาพรวม งบกลาง เงินคงคลัง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านความมั่นคง ด้านภัยธรรมชาติ และด้านบริหารราชการ เมื่ออภิปรายครบถ้วนแล้วจะลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่ในช่วงเย็นของวันที่ 2 ก.ย.2568
ส่วนทิศทางการโหวตงบประมาณ นั้น สว. พิสิษฐ์ กล่าวว่า เป็นเอกสิทธิ์ของสว. แต่ส่วนตัวอยากให้ผ่าน เพื่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณ และหน่วยงานสามารถทำงานได้เต็มที่เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน
ถ้าเป็นไปตามกำหนดนี้ คาดว่างบประมาณประกาศออกมาใช้ได้ทันวันที่ 1 ตุลาคม เป็นไปตามปฏิทินปกติของงบประมาณภาครัฐ ที่จะเริ่มวันที่ 1 ต.ค. และสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.ของปีถัดไป
ในอดีตหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การพิจารณางบประมาณต้องถูกเลื่อนออกไป เพราะต้องรอรัฐบาลใหม่มาพิจารณาอีกครั้ง และแต่ละพรรคการเมืองมีแนวทางในการดำเนินนโยบายต่างกัน การใช้งบประมาณอาจแตกต่างกัน แต่ในปีนี้หากต้องรื้องบกันใหม่ คาดว่างบประมาณอาจต้องเลื่อนไปไม่ต่ำกว่า 6 เดือน อาจจะมีปัญหาต่อการเบิกจ่ายงบประมาณได้ แม้จะสามารถใช้งบประมาณแบบเหลื่อมปีไปก่อนก็ตาม
ส่วนปัญหาเศรษฐกิจ ต้องรับมือ และเร่งแก้ไข ปัญหาใหญ่สุดหนีไม่พ้น “ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย” ถือเป็นปัญหาระดับชาติที่เรื้อรังมานาน เป็นผลมาจากประชาชนมีรายได้ลดลง ไม่ความความรู้ทางด้านการเงิน จึงผิดนัดชำระหนี้มากขึ้น หนี้ครัวเรือนสร้างผลกระทบต่อธุรกิจเพราะกำลังซื้อลดลง เสี่ยงต่อระบบสถาบันการเงิน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ล่าสุดสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานหนี้สินครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 พบว่า หนี้ครัวเรือนไทยยังสูงถึงร้อยละ 87.4 แม้ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่เคยอยู่ระดับร้อยละ 88.4 แต่หนี้ที่ลดลงเป็นผลจากการที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ และครัวเรือนระมัดระวังการก่อหนี้ แต่หากดูคุณภาพของหนี้ กลับมีสัญญาณที่น่ากังวล ตัวเลขไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สูงถึง 1.19 ล้านล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า ครัวเรือนจำนวนมากกำลังประสบปัญหาในการชำระหนี้อย่างรุนแรง
อีกเรื่องต้องรับมือ “ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง” โดยตลอด 20 ปีที่ผ่านมาไทยต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง สร้างเสียหายทางเต่อเศรษฐกิจสูงกว่า 2 ล้านล้านบาท แม้จะมีหลายโครงการออกมาในช่วงปลายรัฐบาล แต่ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งยังรุนแรงทุกปี ดังนั้นจำเป็นต้องมีนโยบายเพิ่ม เพื่อรับมือ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาในระยะยาว ไม่ให้กระทบต่อประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ โดยทุปีภัยจากน้ำท่วม น้ำแล้ง สร้างผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตร ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของไทย
ปัญหาที่สำคัญอีกเรื่อง คือ “การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน” ล่าสุดมีการปิดด่านทั้งในฝั่งกัมพูชา และเมียนมา สร้างความกระทบต่อการส่งออกไทย โดยไทยมีการค้าชายแดนกับกัมพูชา มูลค่าสูงถึง 174,530 ล้านบาทในปี 2567 ในเดือน ก.ค. หลังปิด 18 ด่าน การค้าชายแดนไทยและกัมพูชาหายไปเลย ส่วนฝั่งเมียนมา มีการปิดด่านแม่สอด-เมียวดี เป็นด่านการค้าที่ใหญ่สุดระหว่างไทยและเมียนมา น่าจะกระทบต่อภาพรวมการค้าค้าระหว่างไทยและเมียนมาที่เคยทำไว้กว่า 2 แสนล้านบาทในปี 2567
ส่วนในเรื่องต้องรับมือ คือ “ภาษีระหว่างไทย และสหรัฐฯ” แม้สหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้ให้ไทยเหลือร้อยละ 19 เท่ากับมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และกัมพูชา แต่ปัญหาน่าจะยังไม่น่าจะจบลง โดยสหรัฐฯ มีแนวโน้จะออกภาษีเฉพาะสินค้าออกมาอีก รวมถึงไทยต้องหาแนวทางรับมือทั้งกับสินค้าสหรัฐฯ มาตีตลาดไทยเพราะไทยลดภาษีให้ และสินค้าจากประเทศอื่นๆ ที่ต้องการหาตลาดใหม่ๆ และไหลเข้ามาในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงไทยเพิ่มขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
