"กองทัพอวกาศ“ สหรัฐฯ : 4 ปี กับคำถามที่ยังมีอยู่ว่ามีไว้ทำไม ? แล้วไทยมีกองทัพอวกาศหรือเปล่า !

แม้ว่ากองทัพอวกาศสหรัฐฯ หรือ U.S. Space Force เกิดขึ้น “อย่างเป็นทางการ” ในปี 2019 แต่จุดเริ่มต้นของหน่วยงานนี้ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ในปี 1945 ท่ามกลางการขับเคี่ยวทั้งทางเศรษฐกิจ สายลับ และทหารระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตในขณะนั้น ก็มีโครงการทางการทหารเกี่ยวกับอวกาศขึ้นมาเหมือนกัน
จนกระทั่ง 9 ปีต่อมา หรือในปี 1954 จึงได้เกิดแผนกพัฒนาตะวันตก (Western Development Division) ขึ้นมา ซึ่งนับเป็นหน่วยงานอวกาศแรกของโลก และเป็นรากฐานของกองทั้พอวกาศสหรัฐฯ ในปัจจุบัน โดยหน่วยงานนี้มีหน้าที่รับผิดชอบกิจการทหารด้านอวกาศ การพัฒนาโครงการอวกาศด้านการทหาร ดาวเทียม จรวด การสอดแนมด้วยดาวเทียม ซึ่งเคียงคู่และทำงานอยู่เบื้องหลังทุกปฏิบัติการของสหรัฐฯ ในอดีตที่ผ่านมา
โครงสร้างการบริหารก่อนเป็นกองทัพอวกาศสหรัฐฯ
แต่ว่าแต่ละภารกิจนั้น หน่วยงานนี้กลับมีชื่อที่แตกต่างกันออกไป เช่น สงครามเวียดนาม ที่กินเวลา 20 ปี นับตั้งแต่ปี 1955 จนถึง 1975 หน่วยนี้ที่คอยสนับสนุนสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลัง ก็ได้เปลี่ยนชื่อไปแล้ว ถึง 3 ครั้งด้วยกัน เนื่องจากเปลี่ยนขอบเขตความรับผิดชอบและสังกัดภายในกองทัพ โดยครั้งแรก เปลี่ยนเป็น Air Force Ballistic Missile Division (AFBMD) ในปี 1957 แล้วเปลี่ยนเป็น Space Systems Division (SSD) ในปี 1961 และ Space and Missile Systems Organization (SAMSO) ในปี 1967
การเปลี่ยนชื่อหน่วยงานนี้ก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนก็คือสายการบังคับบัญชา ก็คือยังเป็นเพียงหน่วยในกองทัพอากาศของสหรัฐฯ เท่านั้น โดยนับตั้งแต่ปี 1955 จนถึงปี 2019 หน่วยงานนี้มีชื่อกว่า 7 ชื่อ ด้วยกัน การเปลี่ยนชื่อนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารและการปรับเปลี่ยนภารกิจที่ต่างกันออกไป ซึ่งในสภาคองเกรสเองก็มีความพยายามยกระดับจากหน่วยงานที่โดนเปลี่ยนชื่อซ้ำไปซ้ำมา แยกตัวออกมาเป็นกองทัพ
ในปี 1982 ประธานาธิบดีในตอนนั้นคือ โรนัลด์ เรแกน ก็ตั้งใจจะดันหน่วยงานนี้ให้เป็นกองทัพ ภายใต้โครงการ Star Wars ที่ยกระดับการป้องกันทางการทหาร จากอาวุธหรือภัยต่าง ๆ ที่ตกลงมาจากฟากฟ้า แต่ว่าไม่ใช่เครื่องบิน เช่น ชีปนาวุธหรือแม้แต่อาวุธจากนอกโลก แต่สุดท้าย โครงการนี้ก็ถูกพับไปจากแผนการที่ใช้งบมหาศาลและการสร้างเทคโนโลยีที่เหนือความเป็นจริงในเวลานั้น
และระหว่างปี 2007 - 2011 ก็พยายามรื้อฟื้นอีกครั้ง แต่โศกนาฏกรรม 9/11 ผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบินพลีชีพชนตึกเวิลด์ เทรด เซนเตอร์ ก็ทำให้ความเร่งด่วนในการตามล่าอุซามะห์ บินลาดิน ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะฮ์ นั้นต้องมาก่อน จนพับโครงการตั้งกองทัพอวกาศอีกครั้ง ก่อนที่โดนัลป์ ทรัมป์ จะสานต่อความตั้งใจนี้ให้สำเร็จได้ในวันที่ 20 ธันวาคม ปี 2019
ภารกิจของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ภารกิจของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคือการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และชาวอเมริกัน โดยในประมวลกฎหมาย (United States Code) ที่ตราขึ้นเพื่อตั้งกองทัพอวกาศของสหรัฐฯ ระบุภารกิจหลักเอาไว้ว่า
1. สร้างเสรีภาพในการปฏิบัติการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งใน จาก และที่ส่งไปยังอวกาศ
Provide freedom of operation for the United States in, from, and to space;
2. จัดการภารกิจใด ๆ ด้านอวกาศ
Conduct space operations
3. ปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริการูปแบบใด ๆ ที่อยู่ในอวกาศ
Protect the interests of the United States in space.
หรือโดยสรุปแล้ว ทั้ง 3 ข้อนี้ คือการบอกให้กองทัพอวกาศสหรัฐฯ ปกป้องทั้งบุคคล ทรัพย์สิน ซึ่งอาจจะเป็นดาวเทียม จรวด ยานอวกาศ หรืออวกาศยานใด ๆ ก็ได้ที่เป็นของสหรัฐอเมริกา รวมถึงภารกิจใด ๆ จากทั้งฝั่งทหารและพลเรือน นับตั้งแต่ปล่อยจากพื้นโลกขึ้นไปอวกาศ จนกระทั่งมันกลับลงมายังโลก ซึ่งนับเป็นหัวใจการพัฒนากองทัพ
องค์ประกอบของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ
องค์ประกอบของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ ในปัจจุบันนั้นมีลำดับบังคับบัญชาที่ชัดเจน และแยกออกมาจากองทัพอากาศแล้ว แต่ก็ยังอยู่ภายใต้ทบวงทหารอากาศสหรัฐฯ ในส่วนการบริหารใหญ่สุด แต่สิ่งที่เราจะเน้นเล่าในคลิปนี้ คือกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และหน้าที่ของกองทัพอวกาศ
บุคลากรของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ
เจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนกว่า 16,000 ตำแหน่ง ได้โยกย้ายจากสังกัดเดิมคือกองทัพอากาศ มาเป็นกำลังพลในกองทัพใหม่ที่ชื่อว่ากองทัพอวกาศสหรัฐฯ ในปีที่ถือกำเนิดขึ้นมา ก่อนที่จะปรับตำแหน่งให้เหลือ 8,600 คน ในปัจจุบัน
กำลังพลทั้งหมดนี้กระจายกำลังไปตามฐานทัพในประเทศรวม 6 แห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ใกล้กับ Kennedy Space Center ศูนย์อวกาศและสถานที่ยิงยานอวกาศชื่อดังของ NASA ด้วย และกองทัพอวกาศยังมีฐานนอกแผ่นดินใหญ่อย่างฮาวาย และต่างประเทศอย่างกรีนแลนด์และสหราชอาณาจักร รวมอีก 8 แห่ง
ยุทโธปกรณ์ของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ
เรื่องถัดมาก็คือ ยุทโธปกรณ์ กองทัพอวกาศไม่ได้มีอาวุธแบบที่กองทัพบก กองทัพเรือ หรือกองทัพอากาศของสหรัฐฯ มีไว้ใช้ แต่เป็นอาวุธเชิงป้องกันอย่าง ดาวเทียม เรดาร์ และยานอวกาศ
จากข้อมูลสรุปหรือ Factsheet ที่กองทัพเปิดเผยในปัจจุบัน ที่รายงานว่ากองทัพอวกาศมี อวกาศยาน (Spacecraft) ทุกแบบรวมทั้งหมด 77 หน่วย เป็นดาวเทียม 16 ระบบ เครื่องบินทดสอบวงโคจร X-37B อีก 2 เครื่อง ระบบตรวจการณ์อวกาศอีก 10 ระบบ
การบำรุงรักษาอวกาศยานเหล่านี้ พร้อมกับการจ้างบุคลากรและการวิจัยพัฒนา ได้ทำให้กองทัพอวกาศสหรัฐ มีงบในปีงบประมาณ 2023 ทั้งสิ้น 26,289,848,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 943,000 ล้านบาท
ที่น่าสนใจก็คือ กองทัพอวกาศสหรัฐฯ เป็นหน่วยงานที่ใช้งบน้อยที่สุดในทุกเหล่าทัพ แต่งบที่ใช้นั่นเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปีแรกที่ตั้งกองทัพ หรือปี 2019 ใช้งบทั้งหมด 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท ตามค่าเงินในตอนนั้น เพื่อใช้เป็นการโยกย้ายหน่วยงานกับค่าก่อสร้างศูนย์บัญชาการ ก่อนที่งบจะไต่ขึ้นจากหลักสิบล้าน เป็น 26,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 นี้
และงบปี 2024 ก็ตั้งไว้สูงถึง 30,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเลขปีงบประมาณ 2024 ของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ นั้นมากกว่างบของกระทวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาฯ และกระทรวงการคลังของไทย ซึ่งรวมกันได้ประมาณ 1 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณเดียวกัน
บทบาทและหน้าที่กองทัพอวกาศสหรัฐฯ
ความสามารถของระบบยุทโธปกรณ์กองทัพอวกาศสหรัฐฯ
อวกาศยานกว่า 77 หน่วย มีความสามารถที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น ระบบนำทางที่นิยมเรียกว่าจีพีเอส (GPS) ไม่ว่าจะในมือถือหรือว่าบนรถยนต์ แท้จริงแล้วเป็นระบบระบุตำแหน่งและนำทางด้วยดาวเทียมที่พัฒนาโดยกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ซึ่งในปัจจุบันกองทัพอวกาศสหรัฐฯ เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบและกำกับดูแล
นอกจากนี้ กองทัพอวกาศสหรัฐฯ ยังมีระบบ Defense Support Program (DSP) ดาวเทียมที่ทำหน้าที่เตือนการยิงขีปนาวุธที่ขึ้นมาสู่ชั้นบรรยากาศหรือแม้แต่ขึ้นมาระดับชั้นอวกาศ และระบบ SSPARS (Solid State Phased Array Radar System) เรดาร์ที่เตือนภัยจรวดได้ตั้งแต่จรวดยังอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ตลอดจนระบบอื่น ๆ ที่เป็นการป้องกัน ติดตาม วัตถุจากนอกโลกหรือวัตถุที่ถูกยิงส่งขึ้นมายังชั้นอวกาศในขอบเขตเทคโนโลยีที่ต่างกันออกไป
ในมุมมองหนึ่งแล้วการมีดาวเทียมและระบบต่อต้านภัยทางอวกาศที่ล้ำสมัยในปริมาณเกือบ 80 ชิ้น อาจจะดูแล้วลงทุนมหาศาล แต่ในมุมของสหรัฐฯ แล้ว การต้องรับมือวัตถุอวกาศกว่า 44,500 ชิ้น ที่กำลังโคจรรอบโลก ซึ่งในนั้นเป็นดาวเทียมกว่า 9,000 ดวง และขยะอวกาศอีกกว่า 19,000 ชิ้น ก็อาจจะมองว่าสิ่งที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อภัยจากอวกาศ
บทบาทหลักของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ
หน้าเว็บไซต์รับสมัครเจ้าหน้าที่กองทัพอวกาศสหรัฐฯ ได้ระบุหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของกองทัพเอาไว้ว่าเป็นการทำให้ดาวเทียมของสหรัฐฯ และพันธมิตรที่โคจรอยู่รอบโลกนั้นปลอดภัย นอกจากนั้น กองทัพอวกาศยังต้องมีหน้าที่ในการประสานและทำให้ระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมนั้นปลอดภัยและไร้รอยต่อ เพื่อทั้งประโยชน์ทางการทหารและการช่วยเหลือภัยพิบัติในประเทศ รวมถึงดูแลการปล่อยจรวดตั้งแต่เริ่มสร้างไปจนถึงตอนปล่อยสู่อวกาศด้วย
นักวิเคราะห์อาวุโสของกองทัพฯ เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับ New York Times โดยยกตัวอย่างการเตรียมระบบและอุปกรณ์รับมือการทำลายดาวเทียมจากฝ่ายตรงข้ามสหรัฐฯ ซึ่งกองทัพอวกาศ จึงจำเป็นต้องมีระบบทำลายดาวเทียมฝ่ายตรงข้ามและระบบต่อต้านการทำลายดาวเทียมด้วย
หรือสถานการณ์ตัวอย่างสมมติ ที่มีการยิงชีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์มายังสหรัฐอเมริกา สหรัฐฯ จะต้องรับมือการทำลายดาวเทียมจากฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากดาวเทียมมีหน้าที่ติดตามตำแหน่งและสกัดกั้นการยิง รวมถึงกองทัพฯ ยังมีหน้าที่ทำให้ดาวเทียมทหารของประเทศที่ถูกทำลาย ต้องมีทดแทนภายในระยะเวลา 60 ชั่วโมง
บทบาทอื่น ๆ ของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ
แต่นอกเหนือจากการรับมือภัยคุกคามที่มาในรูปแบบต่าง ๆ ตามมุมมองของรัฐบาลสหรัฐแล้ว กองทัพอวกาศยังมีหน้าที่ในการส่งเสริมการวิจัยทางอวกาศและการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการเลือกส่งดาวเทียมต่าง ๆ ด้วยบริษัทขนส่งอวกาศในสหรัฐ อย่างจรวด Falcon 9 และ Falcon Heavy ของ SpaceX รวมไปถึง Atlas V ของ United Launch Alliance และจรวดขนส่งขนาดเล็กอย่าง Electron ของบริษัท Rocket Lab
นอกจากการกระจายเม็ดเงินไปสู่ภาคเอกชนแล้ว กองทัพอวกาศสหรัฐ ยังมีระบบดาวเทียม Defense Meteorological Satellite Program (DMSP) ที่พัฒนาตั้งแต่ยุคสงครามเย็นและได้รับการพัฒนาจนถึงปัจจุบัน โดยมีหน้าที่ติดตามสภาพภูมิอากาศโลก ก่อนแบ่งปันข้อมูลที่รวบรวมได้ให้กับ NASA และ USGS ที่เป็นหน่วยงานด้านภูมิศาสตร์ของชาติ ในการศึกษาวิจัยด้วยเช่นกัน
ความแตกต่างระหว่าง NASA กับกองทัพอวกาศสหรัฐฯ
USA Facts ที่เป็นองค์กรเอกชนที่ไม่หวังผลกำไร (Non-Government Organization: NGO) ได้จำแนกความแตกต่างระหว่าง NASA กับกองทัพฯ เป็นเรื่องของเป้าหมายการพัฒนาระบบนิเวศทางอวกาศระหว่างการผลักดันทางวิทยาศาสตร์กับด้านการทหาร
โดยหนึ่งในโครงการที่รู้จักกันมากที่สุดของ NASA ยุคปัจจุบัน ก็คืออาร์เทมิส (Artemis) โครงการที่จะส่งคนกลับไปดวงจันทร์อีกครั้งในรอบหลายสิบปี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อการศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งคนไปอยู่นอกโลกโดย Artemis ได้ดึงเอกชนมาร่วมพัฒนาหลายส่วน เช่นจรวดขนส่ง SLS ที่จะใช้ส่งยานไปดวงจันทร์ ได้เปิดให้บริษัทเอกชนหลายรายมาพัฒนา รวมไปถึงการเลือกยานขนส่ง Starship จาก SpaceX ในภารกิจส่งคนไปลงดวงจันทร์ในปี 2026 ก็เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศเช่นกัน
ในขณะที่กองทัพอวกาศสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีโครงการทดสอบทางอวกาศ อย่างเช่น เครื่องบินอวกาศ X-37B ที่ดึงเอกชนอย่างโบอิ้ง (Boeing) มาพัฒนา แต่เป้าหมายหลักของการทดสอบนั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ทางการทหารและความมั่นคง โดยเครื่องบินอวกาศลำนี้ได้ตกเป็นข่าวลือว่าใช้สอดแนมรัสเซีย
หรือแม้แต่เป็นเครื่องบินจิ๋วสำหรับทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ได้ในมุมมองของรัสเซีย จากการให้สัมภาษณ์ของยาน โนวิคอฟ (Yan Novikov) ผู้อำนวยการทั่วไปของอัลมาซ แอนเทย์ (Almaz-Antey) บริษัททางการทหารที่เป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจของรัสเซีย แต่ฝั่งสหรัฐฯ ไม่มีการแสดงความคิดเห็นใด ๆ ส่วนภารกิจอย่างเป็นทางการของ X-37B ก็คือการทดลองและการส่งอุปกรณ์ที่เป็นความลับทางการทหารไปยังอวกาศเท่านั้น
กองทัพอวกาศในประเทศอื่น ๆ นอกจากสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากกองทัพอวกาศสหรัฐฯ เองนั้นมีที่มาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น สหภาพโซเวียตเองก็มีกองทัพอวกาศในยุคเดียวกัน โดยใน 1 ปีหลังเกิดรากฐานกองทัพอวกาศสหรัฐฯ ขึ้นมา หน่วยงานที่ชื่อว่าเทย์กา อินสตอลเลชัน หรือออกเบียต เทย์กา (Tayga Installation: Обект «Тайга») ได้ถือกำเนิดมาด้วยหน้าที่คล้ายคลึงกัน ก่อนที่จะพัฒนาต่อยอดกลายเป็นกองทัพอวกาศรัสเซีย (Russian Space Forces) ในปี 1992 แม้ว่าจะต้องเปลี่ยนโครงสร้างหรือยุบกองทัพหลายครั้ง แต่ก็สามารถกลับมาเป็นกองทัพอีกครั้งในปี 2015 ก่อนหน้ากองทัพอวกาศสหรัฐฯ 4 ปี
และในวันส่งท้ายปี 2015 ประเทศจีนได้ก่อตั้ง กองกำลังสนับสนุนทางยุทธศาสตร์กองทัพปลดปล่อยประชาชน ขึ้นมา และบรรจุแผนให้สงครามอวกาศเป็นหนึ่งในแผนแม่บทสำคัญที่ต้องรับมือเช่นกัน
ในขณะที่ไทยเอง กองทัพอากาศได้จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการทางอวกาศกองทัพอากาศ ขึ้นมาในปี 2019 โดยมีหน้าที่เฝ้าระวัง ติดตามและปกป้องผลประโยชน์ทางอวกาศของไทยเช่นกัน โดยมียุทโธปกรณ์เป็นดาวเทียมสำรวจอย่าง นภา 1 (NAPA-1) และ นภา 2 (NAPA-2) ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของไทยในการสร้างผลประโยชน์ทางอวกาศด้วย
ข้อมูลจาก Britannica, Cornell University, USA Facts, Wikipedia, Space Forces (U.S. Recruitment), New York Times, Popular Mechanics, The National Interest, Space News, SPOC (กองทัพอากาศไทย)
ภาพจาก Flickr, U.S. Space Forces
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
