รีเซต

ใช้ "คลอรีนผง" ผสมน้ำอาบทำให้ผิวขาว ล่าสุดอย.ชี้แจงแล้ว!

ใช้ "คลอรีนผง" ผสมน้ำอาบทำให้ผิวขาว ล่าสุดอย.ชี้แจงแล้ว!
TNN ช่อง16
4 พฤศจิกายน 2565 ( 10:06 )
123
ใช้ "คลอรีนผง" ผสมน้ำอาบทำให้ผิวขาว ล่าสุดอย.ชี้แจงแล้ว!

ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ไขข้อสงสัยใช้ "คลอรีนผง" ผสมน้ำเพื่ออาบทำให้ผิวขาวจริงหรือ อย.ชี้แจงแล้ว


จากกรณีที่มีผู้โพสต์ให้คำแนะนำว่าคลอรีนผงผสมน้ำเพื่ออาบ ทำให้ผิวขาว ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ชี้แจงว่าเป็นการใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยผงคลอรีนเป็นสารเคมีที่ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคบนพื้น ฝาผนัง วัสดุ อุปกรณ์ หรือฆ่าเชื้อในสระว่ายน้ำ จัดเป็นวัตถุอันตรายที่มีให้ผิวหนังไหม้อย่างรุนแรง ระคายเคืองดวงตาและระบบทางเดินหายใจ ซึ่งสารคลอรีนที่ขายในท้องตลาดมักมีความเข้มข้นสูง ดังนั้น ผู้ใช้ต้องสวมถุงมือยาง สวมหน้ากาก เพื่อป้องกันการรับสัมผัส ปฏิบัติตามคำแนะนำที่ระบุบนฉลากอย่างเคร่งครัด ทั้งวิธีการเจือจาง การนำไปใช้ คำเตือน และความเป็นอันตรายซึ่งจะแสดงด้วยรูปสัญลักษณ์ เมื่อใช้เสร็จแล้วต้องล้างมือให้สะอาดหลังจากใช้งานเสร็จแล้วทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย


การใช้คลอรีนผสมน้ำเพื่อแช่หรืออาบนั้นแม้ว่าจะใช้ในปริมาณที่น้อย แต่เมื่อผิวหนังสัมผัสกับคลอรีนก็อาจจะส่งผลให้ผิวหนังระคายเคืองได้ คลอรีนจึงถูกห้ามใช้เป็นส่วนผสมในสบู่หรือเครื่องสำอางอื่น ๆ อีกด้วย ทั้งนี้ อย. ขอสนับสนุนให้คนไทยเห็นความสำคัญกับการมีผิวสุขภาพดีมากกว่าผิวขาว อย่าหลงเชื่อการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง หรือใช้สินค้าที่มีส่วนประกอบที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายเพราะอาจเกิดผิวเสียถาวรหรือผิวหนังอักเสบได้


ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือโทร. 02-590-7000


บทสรุปของเรื่องนี้คือ : คลอรีนเป็นสารกัดกร่อน จัดเป็นวัตถุอันตรายใช้สำหรับฆ่าเชื้อโรค ไม่เหมาะกับร่างกายของมนุษย์ อีกทั้งจัดเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง หากสัมผัสผิวหนังในปริมาณมากจะทำให้ผิวหนังไหม้รุนแรง ระคายเคืองดวงตาและระบบทางเดินหายใจ แนะใช้ตรงตามวัตถุประสงค์และปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลาก เพื่อความปลอดภัย




ที่มา ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม

ภาพจาก AFP

ข่าวที่เกี่ยวข้อง