เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
#ภาวะหุ้น #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะยังคงแกว่งตัว Sideways to Sideways Down โดยยังคงถูกกดดันจากบรรยากาศการลงทุนในฝั่งเอเชียที่ยังค่อนไปในทางลบ จากความกังวลที่ทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดี ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากฝั่งเอเชียเข้าหาสหรัฐฯต่อเนื่อง สะท้อนผ่าน Dollar Index ที่ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่องกดดันบาทอ่อนค่าแตะ 34.50 บาท/ดอลลาร์ โดยเรามองดัชนีมีโอกาสทยอยย่อตัวลงและทดสอบแนวรับหลักบริเวณ 1,440+- จุดอีกครั้ง
นอกจากนี้ปัจจัยในประเทศยังมีแรงกดดันจากภาพรวมกำไรบจ. 3Q24 เท่าที่ประกาศออกมาแล้วต่ำกว่าที่ตลาดคาดราว 15% และเริ่มเห็นตลาดทยอยปรับลดประมาณการ EPS ปี 2024-25 ลง 3-5% จากช่วง 2 สัปดาห์ก่อนเหลือราว 87 บาทและ 98 บาท ทำให้ในเชิง Valuation มีความตึงตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันให้ดัชนีพักตัวระยะสั้นและคาดยังไม่ผ่านแนวต้าน 1,470 และ 1,500 จุด
อย่างไรก็ตามเรายังมองโอกาสฟื้นตัวของดัชนีในระยะกลาง-ยาวจากภาพเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัวใน 4Q24-2025 รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่จะทยอยออกมาในระยะถัดไป รวมถึงโอกาสที่อาจเห็นกนง.ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีหน้าจะเป็น Upside โดยยังให้ SET Target ปี 2025 ที่ 1,600 จุด ขณะที่ Downside คาดว่ายังถูกจำกัดจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ 1
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไร 3Q24 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : MAGURO, MTC, OSP, SFLEX, VIH
FSSIA Portfolio : AOT, CHG, CPALL, CPN, ITC, KCG, KTB, MTC, NSL, SFLEX, SHR
หุ้นเด่นวันนี้ : BDMS
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 36.50 บาท
• คาดกำไรปกติ 3Q24 ที่ 4.22 พันลบ. +27% q-q, +9% y-y ทำสถิติสูงสุดใหม่ หนุนจากปริมาณผู้ป่วยจากต่างประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ดี คาดผลกระทบจำกัดจากแผนประกันสุขภาพแบบร่วมจ่าย
• คาดรายได้จะโตต่อเนื่องใน 4Q24 จากผู้ป่วยจากต่างประเทศซึ่งจะทำให้รายได้ปี 2024 เกือบถึงเป้าการเติบโตของบริษัทที่ 10% เราคาดกำไรปี 2024-25 เติบโตเฉลี่ย +11% ต่อปี ราคาหุ้นปรับลงทำให้เทรด 2025PER เพียง 23.9 เท่า
• แนวรับ 26-25.50 บาท แนวต้าน 27.50-28 บาท
**บล.ดาโอ คาดดัชนีฯ กลับเข้าสู่การปรับฐาน นักลงทุนมองว่านโยบาย Trump เป็นลบต่อตลาด และบริษัทต่างๆ ทยอยส่งงบโค้งสุดท้าย โดยทิศทางตลาด กำลังถูกขายจากการรับข่าวในเชิงลบ โดยเฉพาะ นโยบายการค้าของ Trump ที่ถูกมองว่าจะเป็นลบต่อประเทศต่างๆ เม็ดเงินไหลกลับเข้าสินทรัพย์ที่เป็นดอลล่าร์ (หุ้น+Bitcoin) ยกเว้นทองคำ ที่สูญเสียความเป็น safe haven assets และผลจากดอลล่าร์แข็ง ......ส่วนตลาดหุ้นไทย คาดหุ้นขนาดใหญ่(หุ้นฝรั่งเล่น) มีโอกาสถูกขายออก ผสมแรงขายหุ้นที่งบออกมาผิด(ต่ำ)คาด ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน
• กลางสัปดาห์นี้ ว่าที่ประธานาธิบดี Trump จะเข้าทำเนียบขาว จับตา 3 เรื่องที่ “Trump” จะต้องแสดงความชัดเจน คือ นโยบายการค้า-สงคราม-การลดภาษี
• การที่จีน ยังไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะ ออกมาเพียงแผนรีไฟแนนซ์หนี้รัฐบาลท้องถิ่น(10 ล้านล้านหยวน) ..... เราประเมิน กว่าจีนจะออกมาตรการที่มี impact สูงต่อเศรษฐกิจ (การบริโภค) อาจต้องไปรอให้เห็นความชัดเจนของนโยบายสหรัฐฯ ที่เกี่ยวกับจีน ซึ่งอาจต้องรออีกระยะเวลาหนึ่ง หุ้นกลุ่มที่จะถูกกระทบเวลานี้ จะเป็นหุ้นกลุ่ม Commodity
• สถานการณ์ตะวันออกกลาง ออกมาดีขึ้น นโยบายสหรัฐฯ จากนี้ น่าจะต้องการให้ยุติสงคราม ทั้งตะวันออกกลางและรัสเซีย ..... เราประเมินว่า หากผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ สามารถยุติสงครามได้ จะเป็นบวกต่อตลาดและเศรษฐกิจโลก รวมถึงราคาน้ำมันด้วย
• ตลาดเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการส่งงบ 3Q วันสุดท้ายคือ 14 พ.ย. DAOL ประเมินกำไร SET ไตรมาสนี้ไว้ที่ 2.1 แสนลบ. -24% yoy; -17%qoq ทั้งนี้ กำไรของบริษัทที่รายงานมาแล้ว -34% yoy และ -36%qoq ต่ำกว่าตลาดคาดราว 13%
• การเมือง: ปมคำร้องนายทักษิณครอบงำพรรคเพื่อไทย-ล้มล้างการปกครองฯ ล่าสุดอสส.ได้ส่งข้อมูลและการให้ถ้อยคำเพิ่มเติมต่อศาลรัฐธรรมูญแล้ว โดยคาดว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจนำขึ้นมาพิจารณาในการประชุมวันที่ 13 พ.ย.67 - สัปดาห์ถัดไป ว่าจะรับหรือไม่รับคำร้อง
• การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน อยู่ระว่างการเสนอชื่อผู้รักษาการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เข้าการประชุมครม. ในวันนี้ หากไม่ทันจะขอนายกฯ เสนอเข้าเป็นวาระจร คาดจะสามารถเชิญบอร์ดไตรภาคีร่วมประชุมได้ต้นเดือนธ.ค. และหากองค์ประชุมไม่ครบ 15 คน จะเชิญอีกครั้งใน 15 วัน(เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 2 ใน 3) เผยจะเร่งประกาศใช้ให้ทันก่อนปีใหม่ 2568
• คณะกรรมการสรรหาฯ มีมติคัดเลือก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่กระทรวงการคลังเสนอชื่อ นั่งประธานแบงก์ชาติคนใหม่ หลังจากเลื่อนการประชุมมาแล้ว 2 ครั้ง และวันนี้ ธปท. จะแถลงในเรื่องนี้ ..... ประเด็นเฝ้าระวัง คือจะเป็นประเด็นที่ถกเถียงว่า ธปท.ถูกการเมืองแทรกแซงหรือไม่
• ศาลรัฐธรรมนูญ นัด 22 พ.ย. ถกรับไม่รับคำร้อง ทักษิณ-เพื่อไทย ล้มล้างการปกครอง ...... กรณีนี้ อาจทำให้นักลงทุนรอดูผลในวันที่ 22 พ.ย.
• Event สำคัญวันนี้ : ประชุม ครม. และ BDMS ส่งงบ
Technical : BCH, KAMART
**บล.คิงส์ฟอร์ด วางแนวรับดัชนี SET ที่ 1,440 – 1,450 แนวต้าน 1,460 – 1,470 คาด Fund Flow ต่างชาติในกลุ่มอาเซียนยังชะลอตัว จาก ม.American First กอรปกับค่าเงินบาทเช้านี้อ่อนค่าอยู่ที่ 34.6 บาท/USD. ดังนั้นจึงแนะนำทยอยซื้อบริเวณแนวรับ เช่น กลุ่มค้าปลีก CPALL,CPAXT,CRC และกลุ่มท่องเที่ยว AOT,AAV,MINT,ERW,SPA ได้แรงหนุนในช่วง High Season / เก็งกำไร SAWAD,MTC,KTC จาก ม.ช่วยเหลือลูกหนี้ภาคครัวเรือนของ ธปท.
ANI* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 4.48 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 4Q67 ฟื้นตัว QoQ เนื่องจากเป็นช่วง high season ของการขนส่งสินค้าที่ผู้ประกอบการจะสต๊อกสินค้าเพื่อรองรับการขายในช่วงสิ้นปีและปีใหม่ ประกอบกับค่าระวางการขนส่งทางอากาศทยอยฟื้นตัว และบริษัทฯ เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเต็มไตรมาสจากการร่วมลงทุนธุรกิจ GSA ในอินเดีย รวมถึงสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนลดลง ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 67-68 ที่ 750 ล้านบาท -7%YoY และ 900 ล้านบาท +20%YoY
SYNEX* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 17.35 บาท) กลุ่มสินค้าไอทีมี Demand จากการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ให้ทันกับเทคโนโลยี(4g>5g>AI) รวมถึงการใช้งาน cloud/อุปกรณ์IoT ที่แพร่หลายขึ้น ส่วนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะยังมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจาก 1.THB/USD ที่กลับมาแข็งค่าในช่วงก่อน 2.ปัจจัยบวกตามฤดูกาล การเปิดตัวสินค้าใหม่(เช่น iPhone) 3.งบประมาณรายจ่ายของภาครัฐฯปี67 ที่อั้นมาและเริ่มใช้จ่ายในปลาย 2Q67 และ 4.ม.กระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคของรัฐบาล ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าในปี67 และ68 กำไรสุทธิของ SYNEX* จะอยู่ที่ระดับ 648 ลบ.(+26%YoY) และ 755 ลบ.(+17%YoY)