รีเซต

"ทรัมป์" เดินหน้ากวาดล้างผู้อพยพ ปี 2569 ทุ่มงบ 1.7 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มกำลังคน ขยายศูนย์กักกัน พุ่งเป้านายจ้าง-ไซต์งาน

"ทรัมป์" เดินหน้ากวาดล้างผู้อพยพ ปี 2569 ทุ่มงบ 1.7 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มกำลังคน ขยายศูนย์กักกัน พุ่งเป้านายจ้าง-ไซต์งาน
TNN ช่อง16
22 ธันวาคม 2568 ( 15:46 )
15

"ทรัมป์" เตรียมเดินหน้ากวาดล้างผู้อพยพในปี 2569 ทุ่มงบ 1.7 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ เปิดศูนย์กักกันใหม่ ลุยปราบนายจ้าง เน้นบุกไซต์งาน


สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กำลังเตรียมยกระดับมาตรการปราบปรามผู้อพยพอย่างเข้มข้นขึ้นอีกครั้งในปี 2569 ซึ่งภายใต้แพ็กเกจงบประมาณขนาดใหญ่ที่สภาคองเกรสซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากผ่านเมื่อเดือนกรกฎาคม สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) และหน่วยตระเวนชายแดน (Border Patrol) จะได้รับงบเพิ่มอีก 170,000 ล้านดอลลาร์ ไปจนถึงเดือนกันยายน 2572 เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับงบรายปีเดิมของทั้งสองหน่วยงานซึ่งรวมกันอยู่ที่ราว 19,000 ล้านดอลลาร์


เจ้าหน้าที่รัฐบาลระบุว่าเงินดังกล่าวจะถูกใช้เพื่อ รับสมัครเจ้าหน้าที่เพิ่มอีกหลายพันคน เปิดศูนย์กักกันแห่งใหม่ เพิ่มการจับกุมผู้อพยพในเรือนจำท้องถิ่น และร่วมมือกับบริษัทเอกชนเพื่อติดตามผู้ที่ไม่มีสถานะถูกกฎหมาย


โดยรัฐบาลของทรัมป์มีแผนขยายปฏิบัติการเข้าตรวจค้นและจับกุมในสถานที่ทำงานมากขึ้น  อย่างไรก็ตามแผนขยายการเนรเทศเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสต่อต้านทางการเมืองซึ่งส่งสัญญาณชัดเจนขึ้นตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งกลางเทอม ตัวอย่างที่สำคัญ คือ การเลือกตั้งในไมอามี ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกวาดล้างอย่างมากเพราะมีประชากรผู้อพยพจำนวนมาก และผลปรากฎว่าชาวเมืองได้ลงคะแนนเสียงให้ นายกเทศมนตรีจากพรรคเดโมแครตเป็นผู้ชนะ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี โดยนายกเทศมนตรีคนใหม่ระบุว่าผลเลือกตั้งส่วนหนึ่งสะท้อนปฏิกิริยาต่อแนวทางของทรัมป์ 


เช่นเดียวกันผลเลือกตั้งในเขตท้องถิ่นอื่น ๆ พร้อมด้วยผลสำรวจบางส่วนก็บ่งชี้ว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความกังลมากขึ้นกับยุทธวิธีที่แข็งกร้าวในการปราบปรามผู้อพยพของทางการ รวมไปถึงผลสำรวจความเห็นชาวอเมริกันยังสะท้อนถึงความเสื่อมความนิยมในตัวทรัมป์ ซึ่งตลอดทั้งปีนี้ ทรัมป์ได้เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปในเมืองใหญ่หลายแห่ง และเกิดการกวาดล้างตามย่านชุมชนจนมีการปะทะกับชาวบ้าน เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสวมหน้ากาก ใช้มาตรการเข้มข้น เช่น ใช้แก๊สน้ำตาในย่านที่อยู่อาศัย และมีกรณีควบคุมตัวพลเมืองสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามแม้จะมีการบุกตรวจค้นธุรกิจบางกรณีที่เป็นข่าวดัง แต่อย่างไรก็ตามโดยรวมนับว่าหน่วยงานรัฐบาลยังค่อนข้างหลีกเลี่ยงการบุกตรวจฟาร์ม โรงงาน และธุรกิจสำคัญทางเศรษฐกิจที่เป็นที่รู้กันว่ามีการจ้างแรงงานไร้สถานะถูกกฎหมาย


นอกจากนี้ทรัมป์ยังเพิกถอนสถานะคุ้มครองชั่วคราวของผู้อพยพชาว เฮติ เวเนซุเอลา และอัฟกานิสถาน หลายแสนคน ทำให้ “ฐาน” ของผู้ที่อาจถูกเนรเทศขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะเนรเทศผู้อพยพให้ได้ 1 ล้านคนต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แทบแน่นอนว่าจะทำไม่ถึงในปีนี้ โดยนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม มีผู้อพยพถูกเนรเทศแล้วราว 622,000 คน


ความเห็นจาก ไมค์ มาดริด นักกลยุทธ์การเมืองสายกลางของพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า ผู้คนเริ่มมองประเด็นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องผู้อพยพ แต่เป็นประเด็นเรื่องการละเมิดสิทธิ กระบวนการยุติธรรม และการทำให้ย่านชุมชนมีลักษณะคล้ายพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารนอกกรอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับทรัมป์และพรรครีพับลิกันอย่างไม่ต้องสงสัย


ซาราห์ เพียร์ซ ผู้อำนวยการด้านนโยบายสังคมของ Third Way กลุ่มสายกลาง-ซ้าย ระบุว่า ที่ผ่านมาธุรกิจในสหรัฐฯยังไม่กล้าที่จะออกมาต่อต้านมาตรการกวาดล้างของทรัมป์ แต่หากรัฐบาลหันไปเน้นนายจ้างมากขึ้น ก็อาจทำให้ภาคธุรกิจเริ่มส่งเสียงคัดค้าน โดยน่าจับตาว่าธุรกิจจะลุกขึ้นมาสู้กับรัฐบาลนี้หรือไม่

จุดเริ่มต้นของมาตรการกวาดล้างของทรัมป์เริ่มจากการหาเสียงที่ชูการเนรเทศระดับสถิติ โดยให้เหตุผลว่าเป็นความจำเป็นเพราะหลังจากยุคของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็เกิดการเข้าเมืองผิดกฎหมายในระดับสูง และทำให้รัฐบาลทรัมป์ส่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางเข้าเมืองใหญ่เพื่อตามจับผู้กระทำผิดด้านตรวจคนเข้าเมือง จนเกิดการประท้วงและคดีฟ้องร้องเรื่องการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและการใช้ความรุนแรง


ผลกระทบในชีวิตประจำวันเริ่มเห็นชัด บางธุรกิจปิดตัวชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการบุกตรวจ หรือเงียบเหงาเพราะลูกค้าหายไป ผู้ปกครองที่เสี่ยงถูกจับกุมเลือกให้ลูกหยุดเรียนหรือให้เพื่อนบ้านไปส่งแทน ขณะที่พลเมืองสหรัฐฯบางส่วนเริ่มพกพาสปอร์ตติดตัว


แม้รัฐบาลจะสื่อสารต่อสาธารณะว่าเน้นอาชญากร แต่ข้อมูลของรัฐกลับชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์จับกุมผู้ที่ไม่ได้มีคดีอาญาอื่น นอกจากข้อกล่าวหาเรื่องสถานะเข้าเมือง มากกว่ารัฐบาลชุดก่อน ๆ โดยกลุ่มผู้ถูก ICE จับกุมและถูกกักตัวประมาณ 54,000 คน ณ ปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 มากถึง  41% ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมอื่นมาก่อนเลย นอกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยละเมิดกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับช่วงไม่กี่สัปดาห์ในเดือนมกราคม 2568 ก่อนที่ทรัมป์รับตำแหน่งจะพบว่ามีผู้ถูกจับกุมและกักตัวที่ไม่ได้เผชิญข้อหาอื่นหรือไม่เคยถูกตัดสินคดีมาก่อน เพียงแค่ 6% ของทั้งหมดเท่านั้น  


นอกจากนี้รัฐบาลทรัมป์ยังขยายเป้าหมายไปถึงผู้อพยพที่อยู่ถูกกฎหมายด้วย เช่น จับกุมคู่สมรสของพลเมืองสหรัฐฯ ระหว่างนัดสัมภาษณ์กรีนการ์ด ดึงผู้คนจากบางประเทศออกจากพิธีแปลงสัญชาติก่อนจะได้รับสัญชาติ รวมถึงเพิกถอนวีซ่านักเรียนจำนวนมาก


สำหรับในปีหน้า ปี 2569 การที่รัฐบาลทรัมป์เตรียมเดินหน้าพุ่งเป้าไปที่การตรวจค้นในสถานประกอบการก็เสี่ยงทำให้การจับกุมพุ่งขึ้นไปอีก และจะกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มักสนับสนุนพรรครีพับลิกัน นักวิเคราะห์เตือนว่าหากแรงงานถูกจับจากสถานที่ทำงานมากขึ้น การหาคนมาทดแทนอาจทำให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้น ซึ่งอาจสวนทางกับความพยายามของทรัมป์ในการต่อสู้เงินเฟ้อ ประเด็นที่คาดว่าจะเป็นหัวใจสำคัญของการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนที่ชี้ชะตาอำนาจในสภาคองเกรส

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง