รีเซต

พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในขนมสัตว์เลี้ยงฉลามอบแห้ง เสี่ยงโรคตับ–ไตระยะยาว

พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในขนมสัตว์เลี้ยงฉลามอบแห้ง เสี่ยงโรคตับ–ไตระยะยาว
TNN ช่อง16
10 พฤศจิกายน 2568 ( 16:29 )
18

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ร่วมกับองค์กรไวล์ดเอด (WildAid) และโอเชียน บลู ทรี (Ocean Blue Tree) เผยผลการตรวจสอบโลหะหนักและสารอาหารในผลิตภัณฑ์ขนมขัดฟันสัตว์เลี้ยงที่ทำจากฉลาม ทั้งชนิดกระดูกอ่อนและฉลามอบแห้ง พบสารหนูเกินระดับปลอดภัยในตัวอย่างกว่าร้อยละ 50 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ฉลามอบแห้งทั้งตัว เตือนอาจกระทบสุขภาพสัตว์เลี้ยงหากบริโภคต่อเนื่องในระยะยาว

การศึกษามีเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์สารโลหะหนัก 3 ชนิด ได้แก่ สารหนู แคดเมียม และปรอท รวมถึงสารอาหารจำเป็นอย่างโซเดียมและแคลเซียม ซึ่งมักเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ขนมขัดฟันสัตว์เลี้ยง ผลลัพธ์จะนำไปใช้ประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากฉลาม พร้อมศึกษาดีเอ็นเอเพื่อระบุชนิดฉลามในสินค้า เพื่อพัฒนาแนวทางอนุรักษ์และควบคุมการค้าฉลามในประเทศ

ผลสำรวจตลาดออนไลน์โดย WildAid ในปี 2567 พบว่ามีร้านค้าไทยกว่า 100 ร้านจำหน่ายขนมสัตว์เลี้ยงจากฉลาม โดยพบมากที่สุดในรูปแบบกระดูกอ่อนฉลามและฉลามอบแห้งทั้งตัว ซึ่งมักระบุว่ามีโปรตีนและแคลเซียมสูง ส่งผลให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงเข้าใจว่าเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ทีมวิจัยจากสจล. เก็บตัวอย่างกระดูกอ่อนฉลาม 50 ตัวอย่าง และฉลามอบแห้ง 12 ตัวอย่าง พบว่าครึ่งหนึ่งของตัวอย่างฉลามอบแห้งมีระดับสารหนูเกินค่าความปลอดภัยตามเกณฑ์สากล อีกทั้งตรวจพบแคดเมียมและปรอทในปริมาณไม่เกินค่ามาตรฐานแต่ยังอาจเสี่ยงหากมีการสะสมในระยะยาว เนื่องจากโลหะหนักเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับโรคตับ โรคไต ระบบประสาท และการสร้างกระดูกของสัตว์เลี้ยง

ผศ.ดร.วัลย์ลดา กลางนุรักษ์ หัวหน้าทีมวิจัยและอาจารย์คณะเทคโนโลยีการเกษตร สจล. กล่าวว่า “การบริโภคขนมขัดฟันจากฉลามในระยะยาวอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพสุนัขและแมว เนื่องจากฉลามสะสมสารพิษได้มากกว่าสัตว์น้ำทั่วไป เพราะอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารและมีอายุยืนยาว แหล่งแคลเซียมจากปลากระดูกแข็งจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า โดยพบสารหนูในระดับต่ำและไม่พบแคดเมียมหรือปรอท ทั้งนี้ควรมีการควบคุมปริมาณโซเดียมในขนมสัตว์เลี้ยงอย่างเข้มงวด”

แนวโน้ม “Pet Parenting” หรือการเลี้ยงสัตว์เหมือนลูก ทำให้ตลาดสินค้าสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียมเติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนดุสิตโพลสำรวจเจ้าของสัตว์เลี้ยง 419 คนในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ พบว่าร้อยละ 70 เคยใช้ผลิตภัณฑ์จากฉลาม โดย 67% ซื้อเพราะเชื่อว่าดีต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง และ 38% มองว่าเป็นการแสดงความรัก แต่ผู้บริโภคยังขาดความเข้าใจด้านความยั่งยืนและผลกระทบต่อระบบนิเวศทะเล

องค์กรไวล์ดเอดยังพบแนวโน้มเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์จากฉลามในไทย ทั้งที่ระบุและไม่ระบุชัดเจนบนฉลาก เช่น “กระดูกปลา” หรือ “กระดูกอ่อนปลา” ซึ่งทำให้ผู้ซื้อไม่รู้ว่ากำลังสนับสนุนการใช้ฉลาม ด้านการสำรวจผู้จำหน่าย 50 ราย โดยบริษัท พี.ไอ.วาย.เอ รีเสิร์ช จำกัด พบว่าผู้ขายส่วนใหญ่ไม่รู้แหล่งที่มาและชนิดของฉลามที่ใช้

ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์และที่ปรึกษาองค์กรไวล์ดเอด กล่าวว่า “ความเชื่อที่ว่าการใช้ทุกส่วนของฉลามเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนนั้นไม่ถูกต้อง เพราะหนึ่งในสามของฉลามทั่วโลกอยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์จากการประมงเกินขนาด การใช้ประโยชน์ทุกส่วนจึงอาจกระตุ้นความต้องการจับฉลามมากขึ้น และลดแรงจูงใจในการหาทางลดการจับโดยไม่จำเป็น”

จากข้อมูลการสำรวจตลาดและผู้จำหน่าย พบว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ไม่มีการระบุชนิดฉลามหรือแหล่งที่มาชัดเจน สะท้อนถึงปัญหาการตรวจสอบย้อนกลับที่ยังอ่อนแอ และยืนยันว่าการให้ขนมจากฉลามกับสัตว์เลี้ยงไม่ใช่การบริโภคที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันมีฉลามถูกฆ่าราว 80 ล้านตัวต่อปีทั่วโลก โดยกว่า 25 ล้านตัวเป็นชนิดที่เสี่ยงสูญพันธุ์

“ตราบใดที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าผลิตภัณฑ์จากฉลามเหล่านี้มาจากแหล่งที่ถูกกฎหมายและมีมาตรฐานจริยธรรม ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากฉลามโดยสิ้นเชิง” ดร.เพชร กล่าวเพิ่มเติม

ฉลามเป็นผู้ล่าลำดับต้นในระบบนิเวศทะเล มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของประชากรสัตว์น้ำ การบริโภคผลิตภัณฑ์จากฉลามไม่เพียงเสี่ยงต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง แต่ยังเป็นภัยต่อความยั่งยืนของท้องทะเลในระยะยาว องค์กรไวล์ดเอดและโอเชียน บลู ทรี เตรียมเปิดโครงการรณรงค์สร้างความตระหนักเรื่อง “ภัยเงียบของขนมสัตว์เลี้ยงจากฉลาม” พร้อมผลักดันภาครัฐเข้มงวดตรวจสอบแหล่งที่มาและการค้าผลิตภัณฑ์จากฉลามให้ได้มาตรฐาน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง