รีเซต

“สารหนู” กลางสายน้ำกก ชาวเชียงรายเผชิญวิกฤตสุขภาพ

“สารหนู” กลางสายน้ำกก  ชาวเชียงรายเผชิญวิกฤตสุขภาพ
TNN ช่อง16
1 กันยายน 2568 ( 11:30 )
2

ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ “สารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก” ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการทูตที่ซับซ้อน

ปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ได้กลายเป็นวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่ยากต่อการแก้ไข และทวีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเมื่อพื้นที่ดังกล่าวต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก สถานการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในการจัดการมลพิษข้ามพรมแดนที่ประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง

การเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและเมียนมาเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 กลับไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เมียนมาแสดงท่าทีว่า การปนเปื้อนสารหนูอาจเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เนื่องจากสารหนูเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในดิน และอาจถูกชะล้างลงสู่แม่น้ำจากฝนตกหนักและกิจกรรมเกษตรกรรมทั้งสองฝั่งพรมแดน ขณะเดียวกันรัฐบาลเมียนมายืนยันว่า ในพื้นที่รัฐฉานไม่มีเหมืองแร่ที่ขึ้นทะเบียน และกฎหมายภายในของเมียนมาก็เข้มงวด กำหนดให้เหมืองอยู่ห่างจากแม่น้ำไม่น้อยกว่า 300 เมตร รวมถึงกำหนดให้ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) นอกจากนี้ยังมีบางพื้นที่ถูกประกาศเป็นเขตอนุรักษ์ที่ห้ามทำเหมืองโดยเด็ดขาด

ผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำผิวดินฝั่งเมียนมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ยิ่งตอกย้ำท่าทีของรัฐบาลเมียนมา โดยตัวเลขค่าปริมาณสารหนูที่ตรวจได้ทั้งสามจุดยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของเมียนมา (ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัมต่อลิตร) ได้แก่ 0.026, 0.012 และ 0.013 มิลลิกรัมต่อลิตร แม้ว่าจะสูงกว่ามาตรฐานของไทยที่เข้มงวดกว่ากำหนดไว้ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร เมียนมาจึงยืนยันว่าไม่มีการทำเหมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่ และหากมีการทำเหมืองจริงก็ถือว่าเป็นการทำเหมืองผิดกฎหมายที่รัฐบาลควบคุมไม่ได้ พร้อมเสนอให้ไทยควบคุมการส่งออกสารเคมีที่อาจถูกนำไปใช้ในเหมืองเถื่อน เพื่อป้องกันการดำเนินกิจการผิดกฎหมายเหล่านี้

ประเทศไทยเองกลับเผชิญข้อจำกัดสำคัญ คือไม่สามารถนำภาพถ่ายดาวเทียมของหน่วยงานรัฐไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการเจรจาได้ เนื่องจากพื้นที่ต้องสงสัยอยู่ในเขตแดนของเมียนมา การนำเสนอข้อมูลดังกล่าวอาจถูกตีความว่าเป็นการสอดแนมหรือจารกรรม ซึ่งจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยตรง ปัญหานี้จึงไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการเจรจาทวิภาคีเพียงอย่างเดียว

ทางออกที่พอเป็นไปได้คือ การใช้เวทีอาเซียน โดยอาศัยกรอบความตกลงว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน (AADMER) เพื่อเปิดพื้นที่หารือในเชิงพหุภาคี ทว่าในทางปฏิบัติอาเซียนยังขาดกฎหมายควบคุมมลพิษข้ามพรมแดนเช่นเดียวกับสหภาพยุโรป ทำให้การแก้ไขปัญหานี้ยังติดอยู่ในความลำบากใจทางการทูต และสะท้อนถึงความจำเป็นที่ภูมิภาคอาเซียนควรเร่งผลักดันกฎหมายว่าด้วยมลพิษข้ามแดน เพื่อใช้เป็นกลไกจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกินขอบเขตประเทศ

ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ไม่อาจรอการแก้ไขจากต่างประเทศเพียงอย่างเดียว จึงต้องดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบในพื้นที่เร่งด่วน เช่น การสร้างฝายชะลอน้ำชั่วคราวหลายจุด โดยพิจารณาผลกระทบต่อระบบนิเวศให้น้อยที่สุด และการจัดการตะกอนที่ปนเปื้อนสารหนูอย่างปลอดภัย เพื่อสกัดกั้นไม่ให้แพร่กระจายลงสู่สิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

ปัญหาสารหนูในแม่น้ำกกจึงเป็นมากกว่าวิกฤตสิ่งแวดล้อมในจังหวัดชายแดน แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายทางการเมืองระหว่างประเทศ และช่องโหว่ด้านกฎหมายระดับภูมิภาค การแก้ปัญหาจึงต้องใช้ทั้งมาตรการเชิงพื้นที่ เชิงนโยบาย และเชิงการทูตควบคู่กันไป เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำในระยะยาว

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง