รีเซต

"แสนสิริ" ประกาศอุ้มอสังหาฯรายเล็ก-กลาง หวังช่วยพยุงศก.ไทย ตั้งเป้ายอดโอน 2.7 หมื่นล.

"แสนสิริ" ประกาศอุ้มอสังหาฯรายเล็ก-กลาง หวังช่วยพยุงศก.ไทย ตั้งเป้ายอดโอน 2.7 หมื่นล.
มติชน
21 มกราคม 2564 ( 13:24 )
48

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมา เป็นปีที่แสนสิริต้องเผชิญกับอีกหนึ่งความท้าทายในการทำธุรกิจ ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เราสามารถผ่านมาได้อย่างแข็งแกร่งในรอบ 36 ปีเช่นเดียวกับวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ความแข็งแกร่งในธุรกิจของแสนสิริมาจากการมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานความไว้วางใจและเชื่อมั่นจากลูกค้าจนส่งผลให้เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน ส่งผลให้แสนสิริมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า ทั้งในด้านการขายและโอนโครงการ ด้วยยอดขายที่ทำได้ตามเป้าหมาย 35,000 ล้านบาท สร้างผลงานปิดการขายโครงการที่อยู่อาศัยไปถึง 35 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 64,600 ล้านบาท สะท้อนการบริหารจัดการสต็อคที่อยู่อาศัยที่ดี ขายสินค้าสร้างเสร็จได้มาก นอกจากนี้ บริษัทยังมีผลงานการโอนที่โดดเด่นทั้งในแนวราบและแนวสูง โดยมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่สร้างเสร็จและส่งมอบให้กับลูกค้าไปถึง 45,000 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อนถึง 45% เกินเป้าหมายและสร้างประวัติศาสต์การโอนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของแสนสิริที่เคยทำได้ ในรอบ 36 ปี

 

นายเศรษฐา กล่าวว่า ท่ามกลางความพร้อมในการปรับแผนรับมือภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนในปีที่ผ่านมาตลอดเวลา ภายใต้กลยุทธ์ “Speed to Market” เพื่อแข่งกับสภาพตลาด ทำธุรกิจด้วยความรวดเร็วและปรับตัวเร็วทันต่อสถานการณ์ ส่งผลให้แสนสิริมียอดขายใน 2 ไตรมาสของปี โตสวนกระแสและสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มาจากการขยับและเดินเกมส์เร็วนำหน้าคู่แข่ง ทั้งกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งด้วยแคมเปญที่พัฒนาจาก Customer Insight “แสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน” ที่เข้าใจและช่วยให้ลูกค้าซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น ยังรวมถึงการประกาศความพร้อมในด้านความอุ่นใจและมั่นใจในการเลือกซื้อโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริภายใต้มาตรการป้องกันและดูแลสูงสุด “Sansiri Care” เพราะความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสุงสุด รวมถึงการรุกการขายในทุกช่องทาง ผ่าน Multi-Channel เพื่อตอบโจทย์คนอยากมีบ้านในยุคโควิด ในด้านการพัฒนาโครงการ บริษัทยังได้รุกแบรนด์ที่อยู่อาศัยแนวราบที่ตอกย้ำความเป็น “แบรนด์ที่เข้าถึงง่าย” ภายใต้แนวคิด Made for Life… Made for Everyone ด้วยแบรนด์ “อณาสิริ” บ้านและทาวน์โฮมราคา 2 – 6 ล้านบาท ตอบรับแนวคิดการอยู่อาศัยแบบ Feel Just Right “ความพอดีที่ลงตัว” ที่สร้างปรากฎการณ์การตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้าภายหลังการเปิดตัว

 

“ยอดขายและยอดโอนที่ประสบความสำเร็จยังมาจากความแข็งแกร่งของแสนสิริ ในการเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ในทุกระดับราคา สะท้อนความเชื่อมั่นในการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้านด้วยมาตรฐานการออกแบบและคุณภาพโครงการ ตลอดจนบริการหลังการขายหรือ Sansiri Service ที่สามารถครองใจผู้บริโภค จากการเป็นผู้นำด้านการบริการในที่อยู่อาศัย พร้อมความมั่นใจสูงสุดด้านความปลอดภัยจาก LIV-24 ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้กลุ่มลูกค้าเลือกแสนสิริ ยืนหนึ่งความเป็นผู้นำตัวจริงด้านการอยู่อาศัย การันตีด้วย 2 รางวัลคุณภาพ จาก Marketeer : No.1 Brand Thailand ปี 2019-2020 ขึ้นแท่นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมและ รางวัลจาก Terra BKK : The Most Powerful Real Estate Brand 2020 รักษาแชมป์ 3 ปีซ้อน โดยนับเป็นแบรนด์อสังหาฯในฝันที่คนส่วนใหญ่อยากเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ยังมาจากความแข็งแกร่งในด้านการเงิน หรือ Cash flow Strategy จากการบริหารจัดการสต็อคที่ อยู่อาศัยที่ดี ทำให้มีเงินสดกลับมาในมือ (Cash is King) ลดอัตราหนี้สินและมีสภาพคล่องในมือกว่า 15,000 ล้านบาท ส่งผลให้ Gearing Ratio ลดลงจาก 1.7 อยู่ที่ 1.3 สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงินที่เปรียบเหมือนภูมิคุ้มกันอย่างดีที่ช่วยให้แสนสิริหล่อเลี้ยงธุรกิจโดยไม่สะดุด ไม่ว่าสถานการณ์ใน ปี 2564 จะเป็นอย่างไร” นายเศรษฐากล่าว

 

นายเศรษฐากล่าวว่า สำหรับภาพรวมปี 2564 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ มีการเติบโตในทิศทางเดียวกับ GDP ของประเทศ โดยมีตัวผลักดันที่สำคัญ คือ กำลังซื้อของประชาชน ดังนั้น ในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งยังมีเรื่องโควิดจึงยังมีความน่าเป็นห่วง เพราะถ้าไม่มีการซื้อขายบ้าน ธุรกรรมหลายๆ อย่างก็จะหยุดชะงักไปด้วย ทั้งการซื้อวัสดุก่อสร้าง สี อิฐ หิน ปูน ทราย เฟอนิเจอร์ เครื่องครัว หลอดไฟ สุขภัณฑ์ ฯลฯ ก็จะโดนกระทบทั้งหมด อสังหาริมทรัพย์ถือว่าเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ให้ multiplier effect สูงสุด ทางรัฐจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญ โดยการใช้มาตรการกระตุ้นในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็น มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน หักลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยค่าใช้จ่ายจากการผ่อนบ้านในอัตราที่สูงขึ้น ขยายระยะเวลาการเช่าระยะยาวจาก 30 ปี เป็น 99 ปีเป็นอย่างน้อย เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ให้เข้ามาอยู่ มาท่องเที่ยว ซึ่งจะนำมาซึ่งการใช้จ่าย ก่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในวงกว้าง รวมถึงอยากให้สนับสนุนการเพิ่มกำลังซื้อของผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัย โดยอยากให้สถาบันการเงินของรัฐ จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งในอัตราดอกเบี้ยที่ถูก เพื่อให้ผู้ที่ต้องการมีบ้านหลังแรกเข้าถึงได้

 

นายเศรษฐา กล่าวว่า ในปีนี้บริษัท ตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่ไว้ 24 โครงการ รวมมูลค่า 26,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งเปิดตัวโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท ในแผนปีนี้แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท และทาวน์โฮมและมิกซ์ โปรเจกต์ 12 โครงการ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท อยู่ในเซกเมนต์ Affordable และ Medium เป็นหลัก เพื่อให้แสนสิริเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย ขณะเดียวกันเราจะขยายฐานลูกค้าในเซกเมนต์ Luxury ด้วยสินค้าใหม่ ทั้งทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว 3 ชั้นภายใต้แบรนด์ใหม่ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายในปี 2564 นี้ได้ 26,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเป้ายอดขายแนวราบ 16,000 ล้านบาท และเป้ายอดขายคอนโดมิเนียม 10,000 ล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายการโอนไว้ 27,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเป้าโอนโครงการแนวราบ 16,000 ล้านบาท และเป้าโอนคอนโดมิเนียม 11,000 ล้านบาท ขณะที่แสนสิริยังมียอดขายรอโอนรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี อีกถึง 27,700 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจได้เป็นอย่างดี และเสริมความแข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

 

“ปี 2564 ที่นับว่าประเทศไทยและเศรษฐกิจยังมีความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เชื่อว่าในครั้งนี้เราพร้อมสู้มากขึ้น แสนสิริพร้อมที่จะสู้ด้วย “ความหวัง” เราจึงยกให้ปีนี้เป็น “The Year of Hope” ที่ไม่ใช่แค่ความหวังของแสนสิริ แต่เป็นความหวังของลูกค้า สังคมและคนไทยทุกคน”นายเศรษฐากล่าว

 

นายเศรษฐากล่าวว่า ในปี 2564 อยากให้เป็นปีแห่งความหวังในการมีบ้านของคนไทย โดยแสนสิริพร้อมก้าวต่อด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเข้าถึงง่าย ด้วยการพัฒนาโครงการใหม่ ในระดับราคาที่เข้าถึงง่าย ด้วย product ที่หลากหลาย ครอบคลุมทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใต้ดีไซน์ที่ตอบโจทย์ทุกความชอบ เพื่อเพิ่มโอกาสการมีบ้านหลังแรก ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการในระดับราคาเข้าถึงง่าย ภายใต้แบรนด์ ‘สิริ เพลส’ – ‘อณาสิริ’ – ‘สราญสิริ’ และ ‘ บุราสิริ’ โดยไฮไลท์ที่สำคัญในปีนี้ แสนสิริจะเปิดตัว products ใหม่ภายใต้แบรนด์ใหม่ เริ่มจากการเปิดตัว Affordable Condominium เซกเมนต์ใหม่ ภายใต้ แบรนด์ใหม่ เจาะกลุ่ม Young Generation ในทำเลคอมมูนิตี้เมือง อาทิ รัชดา, เกษตรฯ, รามคำแหง และ บางนา ในระดับราคาที่เข้าถึงง่ายเริ่มต้นเพียง 1 ล้านกว่าบาทเท่านั้น การเปิดตัว “SIRI Residence” New segment ทาวน์โฮมระดับบน บนทำเลที่ดินผืนใหญ่ที่หายากใจกลางเมือง ในปีนี้จะมี 2 ทำเลและเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 และการเปิดตัว “BuGaan” แบรนด์ใหม่ของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ระดับราคา 30 – 80 ล้านบาท เจาะกลุ่ม Young Successor ภายใต้จุดขาย Modern Luxury Living ในทำเลโยธินพัฒนา เป็นเอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนซ์ เพียง 14 ยูนิตเท่านั้น โดยเตรียมเปิดขายในไตรมาส 2 ของปีนี้ นอกจากนี้ แสนสิริยังเตรียมส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่อีก 3 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 12,200 ล้านบาท ในปีนี้ ได้แก่ XT ห้วยขวาง, ดีคอนโด ไฮด์อเวย์ รังสิต และเอดจ์ เซ็นทรัล พัทยา ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า

 

“อย่างไรก็ดี ในภาวะนี้ อาจมีผู้ประกอบการรายกลาง-เล็ก นำโครงการหรือที่ดินออกขาย เมื่อเรามีความแข็งแกร่งด้านการเงิน ก็เป็นโอกาสในการเลือกซื้อสินทรัพย์เหล่านี้ได้ ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่แค่เป็นผลดีต่อแสนสิริ แต่เป็นผลดีต่อสังคมและเศรษฐกิจในภาพใหญ่ด้วย เพราะช่วยไม่ให้เกิดหนี้เสียเข้าสู่ระบบและช่วยพยุงเพื่อนร่วมธุรกิจที่เป็นบริษัทขนาดเล็ก-ขนาดกลางให้ยังอยู่รอดได้ ไม่ต้องปิดตัว ก้าวต่อไปด้วยกันได้” นายเศรษฐา กล่าว

 

นายเศรษฐากล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจด้วยความเข้าใจ Customer Insights และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาตลอด ระยะเวลากว่า 36 ปี ในปีนี้ แสนสิริยังเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์ “Made for Life…Made for Everyone” เพื่อสร้างภาพแบรนด์ที่จับต้องง่ายขึ้น และเป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” รวมทั้งมุ่งมั่นมอบไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่มากกว่า ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ได้มากกว่าบ้าน” โดยในปีนี้แสนสิริมุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้มากขึ้นในตลาดกลุ่มใหญ่ (Mass Market) ด้วยการจับมือพาร์ทเนอร์รายใหญ่ในกลุ่มธุรกิจอาหาร สร้างปรากฎการณ์เปิดตัวแคมเปญที่สนุก มีสีสัน และเข้าถึงง่ายให้กับลูกค้า โดยจะเปิดตัวในไตรมาสแรกของปีนี้ เพื่อคืนรอยยิ้มให้กับครอบครัวแสนสิริ ขณะที่การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของแสนสิริ เรายังเพิ่มรอยยิ้มในความอุ่นใจและมั่นใจในการเลือกซื้อโครงการ ภายใต้มาตรการป้องกันและดูแลสูงสุด “Sansiri Care” เพราะความปลอดภัยของลูกค้าเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสุงสุด รวมถึงการบริการหลังการขายที่ดี Sansiri Living Solution เพราะบ้านต้องให้มากกว่าบ้าน รวมทั้งได้มีการวางแนวทางในการช่วยสร้างรอยยิ้มแก่ SME ด้วยการซื้อสินค้าและบริการจาก SME และช่วยดัน SME สู่ platform ต่างๆ เพื่อเพิ่มช่องทางในการขายมากขึ้น เพราะ SME คือ ฐานลูกค้าแสนสิริ หาก SME ขายของได้ บ้านเราก็ขายได้ ยังรวมถึงการช่วยสร้างรอยยิ้มแก่ชุมชนรอบข้างแสนสิริ ผ่านการบริจาคและกิจกรรมเพื่อสังคม การสร้างรอยยิ้มสู่เด็ก ผ่านความร่วมมือกับยูนิเซฟตลอดระยะเวลา 10 ปีในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพัฒนาสังคมและคุณภาพความเป็นอยู่ของเด็กและเยาวชนทั้งในประเทศและระดับสากล ภายใต้ 17 โครงการความร่วมมือสู่นโยบายระดับประเทศ ทั้งการลงนามระหว่างแสนสิริและบริษัทคู่ค้า ในสัญญาไม่ใช้แรงงานเด็ก การผลักดันกฎหมายไอโอดีนสู่นโยบายระดับประเทศ รวมถึงการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือเด็กที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินกว่า 18 ล้านชีวิตได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดและได้รับน้ำสะอาดเพื่อการดำรงชีวิต เรายังคงเดินหน้าต่อในปี 2564 ในการมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในฐานะองค์กรที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สู่องค์กรแห่งความยั่งยืน Sansiri Sustainability Mission เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนสู่สังคมและประเทศไทยในด้าน Waste Management และ Green Space อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยสร้างรอยยิ้มให้กับโลกของเรา

 

ฝ่ายสื่อสารองค์กร (ประชาสัมพันธ์)
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง