รีเซต

ส่องหุ้นเด่น ! รับเทรนด์"ดอกเบี้ย"ขาลง ตัวไหนน่าเก็งกำไร เช็กเลย?

ส่องหุ้นเด่น ! รับเทรนด์"ดอกเบี้ย"ขาลง  ตัวไหนน่าเก็งกำไร เช็กเลย?
TNN ช่อง16
20 กันยายน 2568 ( 11:44 )
6

สิ้นสุดการรอคอย ! หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)  ลงมติ 11 ต่อ 1 เสียง มีมติลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่  4.00%-4.25%  โดย “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด แถลงว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการลดโดยมีจุดประสงค์ด้านการจัดการกับความเสี่ยง โดยเฉพาะภาคแรงงานที่เริ่มมีความเปราะบางมากขึ้นเมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ

ขณะที่ Dot Plot หรือการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ปีนี้เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก  2 ครั้ง ครั้งละ 0.25%  ส่วนปี 2569-2570 จะลดอัตราดอกเบี้ยเพียงปีละ 0.25% หรือปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ไม่เปลี่ยนแปลงจากประมาณการในเดือนมิถุนายน สะท้อนให้เห็นว่าเฟดมีการเร่งลดดอกเบี้ยในปีนี้ แต่ชะลอการลดดอกเบี้ยในปีถัดไป  โดยทุกการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามา และการประเมินความเสี่ยงในแต่ละช่วงเวลา (meeting-by-meeting situation)  

แม้เฟดยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อและอัตราว่างงานในปีนี้ไว้เท่าเดิม แต่ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ในปีนี้จาก 1.4% เป็น 1.6% ขณะที่แบบจำลอง GDPNow ล่าสุดของเฟดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 3.3% ในไตรมาส 3/2568 หลังจากหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1/ 68และขยายตัว 3.3% ในไตรมาส 2/68

ทันทีที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย  ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันที่ 18 ก.ย.เด้งรับข่าวทันที ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 46,142.42 จุด เพิ่มขึ้น 124.10 จุด หรือ +0.27%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,631.96 จุด เพิ่มขึ้น 31.61 จุด หรือ +0.48%  ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,470.73 จุด เพิ่มขึ้น 209.40 จุด หรือ +0.94%

สวนทางตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 18 ก.ย. ดัชนีปิดที่ระดับ 1,297.01 จุด ลดลง 9.68 จุด (-0.74%) มูลค่าซื้อขาย 44,929.51 ล้านบาท หลังจากรับรู้ผลการประชุมเฟด  

ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร และนโยบายดอกเบี้ยของไทยจะมีโอกาสปรับลดลงตามเฟดหรือไม่ และส่งผลต่อค่าเงินบาท และเงินทุนเคลื่อนย้ายหมากน้อยแค่ไหน ในวันนี้ TNN Onlile พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ  

เริ่มจาก อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.ทิสโก้  ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เหลือการประชุมอีก 2 ครั้งในปีนี้คือวันที่ 8 ต.ค. และวันที่ 17 ธ.ค. คาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในเดือนธ.ค.นี้ 0.25% หลังจากนั้นในไตรมาส 1/69 มองว่าจะปรับลงอีก 1 ครั้ง 0.25% ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านไทยไม่ได้มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ โดยเงินเฟ้อของไทย เดือนส.ค.ที่ผ่านมา ลดลง 0.79% ซึ่งเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไม่โตเต็มศักยภาพ

ขณะที่เงินทุนเคลื่อนย้ายหลังเฟดลดดอกเบี้ยจะทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทยเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่ม โดยช่วงต้นปีค่าเงินบาทของไทยแตะที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ปัจจุบันแตะที่ระดับ 31.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 8% 

แม้ว่าที่ผ่านมาไทยปรับลดดอกเบี้ยไม่ได้ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า แต่กลับเคลื่อนไหวแข็งค่าต่ำกว่า 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังดอลลาร์อ่อนค่า และการส่งออกทองคำพุ่ง หลังราคาดีดปรับตัวขึ้นแรง รวมถึงเม็ดเงินลงทุนได้ไหลเข้าตลาดพันธบัตรมาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน

 

โดยมองว่าในสิ้นปีนี้ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งถ้าจะอยู่ระดับนี้จะต้องอ่อนค่าลงประมาณ 2.5% เนื่องจากไตรมาส 4 คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะแย่ลงจากตัวเลขส่งออกที่หดตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาษี “ทรัมป์” ขณะที่ตัวเลขท่องเที่ยวก็ไม่ดีขึ้น ดังนั้นต้องรอดูสถานการณ์ส่งออกเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถ้าแย่มีโอกาสที่จะทะลุ 32 บาทต่อดอลลาร์ 

ส่วนตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาเคยลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,050 จุด ในช่วงที่ยังไม่เห็นภาพการเมืองชัดเจน แต่หลังจากได้ครม.ชุดใหม่ ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คาดหวังว่าจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น 

ดังนั้น การลงทุนควรอิงหุ้นที่เกี่ยวกับนโยบายรัฐ ค้าปลีก เช่น CPALL, CPAXT  รับเหมาก่อสร้าง เช่น CK , STECON  และไฟแนนซ์ เช่น MTC  เป็นต้น ซึ่งหลังจากครม.ชุดใหม่ได้รับการโปรดเกล้า จะมีการประชุมครม.นัดพิเศษ เข้าเฝ้าในหลวง เพื่อถวายสัตย์ในวันที่ 24 ก.ย.นี้ ร่างนโยบายบริหารประเทศแถลงต่อสภาฯ ซึ่งต้องรอดูว่าจะมีนโยบายอะไรบ้างในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะสั้นภายใต้งบประมาณที่จำกัด ส่วนกรอบดัชนีในสัปดาห์หน้าประเมินแนวรับที่ 1,260-1,270 จุด แนวต้านที่ 1,300-1,320 จุด

ด้าน “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ มองว่า การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด หรือ Dot Plot  คาดเฟดลดดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าครั้งเดียว การลดดอกเบี้ยที่เร่งตัวขึ้นเปิดประตูให้ธนาคารกลางทั่วโลกใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ส่วนดอกเบี้ยของไทย ถ้า Dot Plot  ไม่ได้ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย มองว่า ดอกเบี้ยของไทยจะปรับลงอยู่แล้ว   1 ครั้ง 0.25%

ส่วน Policy space  หรือส่วนต่างดอกเบี้ยของเฟดอยู่ที่ 4.25% แต่ของไทย 1.5% ทำให้เฟดสามารถจะลดดอกเบี้ยลงได้มากกว่าไทยในปีหน้า คาดว่าปีหน้าดอกเบี้ยของไทยอย่างน้อยน่าจะอยู่ที่ 1% โดยเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีอะไรเลวร้าย แม้ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้ามีความเสี่ยง จากตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอ แต่ปีหน้าจะมีเรื่องการเลือกตั้งจะเป็นตัวช่วยค้ำยันภาพอุปสงค์ในประเทศ

ซึ่งดอกเบี้ยไทย 1% ถ้าไม่ถูกโจมตีจากปัจจัยลบต่างประเทศสามารถยืนได้ แต่ถ้าเศรษฐกิจโลกย่ำแย่หนักเศรษฐกิจไทยโดนหางเลขไปด้วย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้พูดชัดเจนแล้วว่า มองแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะถัดไปจะอยู่ที่ 0.5% โดยเป็นช่วงที่เคยเกิดขึ้นในช่วงโควิด และเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 

ด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายนั้นเห็นว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยช่วงหลังระหว่างเฟดและธปท. เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลน้อยลงต่ออัตราแลกเปลี่ยน และการโยกย้ายฟันด์โฟลว์ โดยเงินทุนเคลื่อนย้ายในช่วงหลังต่างชาติซื้อขายสุทธิเป็น Short-term Trading โดยใช้โปรมแกรมเป็นส่วนใหญ่จึงไม่มีความสัมพันธ์กันมากนัก แต่ถ้าจะมีผลคือเรื่องผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปีหน้ากลุ่มที่ล้อไปกับเศรษฐกิจโลก เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี ส่งออก อาจจะมีความเสี่ยงปรับตัวลงควรจะเลี่ยงการลงทุน แต่กลุ่มที่มีอัพไซด์จะเป็นหุ้นอิงในประเทศ แม้ว่า EPS  ตลาดจะนิ่งหรือโตนิดหน่อย โดยดัชนีหุ้นไทยคงไม่โดดเด่นในปีหน้ามากนัก แต่ไม่ใช่ว่านักลงทุนไม่สามารถลงทุนได้ ซึ่งยังเห็นภาพ Sector Rotation 

โดยปีหน้าถ้ามีการเลือกตั้งถ้าอยู่บนไทม์ไลน์เดิม จะเป็นตัวดึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค และนักลงทุนในประเทศขึ้นมาได้บ้าง โดย valuation หุ้นที่อิงกับปัจจัยภายนอกไปไกลแล้ว แต่ valuation หุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศยังต่ำ ซึ่งถ้ารัฐบาลใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจดึงความเชื่อมั่น แต่อิมแพคต่อจีดีพีเป็นเบี้ยหัวแตก เนื่องจากไทยอยู่ในช่วงสุญญากาศทางการเมือง 3-6 เดือน พอมีอะไรช่วยสร้างสีสันขึ้นมาในช่วงระยะสั้นทำให้ตลาดรีบาวด์ แต่ระยะยาวต้องดูการบริหารของรัฐบาลใหม่ในปีหน้าเลยว่าใครจะได้มาเป็นรัฐบาล และถ้าเป็นรัฐบาลผสมจะเป็นอย่างไรและมีความแข็งแกร่งขนาดไหน 

ด้านค่าเงินบาทนั้น ถ้ากนง.ปรับลดดอกเบี้ยตามเฟดไม่ได้หมายความว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่า จากเงินทุนไหลออก โดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และไทยมีผลกระทบต่อเงินบาทน้อยมาก เพราะยังมีปัจจัยอื่นหนุนบาทแข็งค่า โดยเฉพาะทองคำ  คาดว่าปรับตัวขึ้นต่อหลังเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงชะลอตัวลง และเทรนด์ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ขาลงจะหนุนราคาทองคำปรับตัวขึ้นจะส่งให้เงินบาท 

ทั้งนี้เห็นว่าถ้าเสถภียรภาพการเมืองไม่มีอุบัติเหตุ โดยมีการเลือกตั้งและดึงความเชื่อมั่นกลับมายิ่งทำให้ค่าเงินบาทยืนแข็งค่า ซึ่งจากการดูข้อมูลของธปท.ในสัปดาห์ที่ผ่านมาในการแทรกแซงของธปท. ดูเหมือนว่า ไม่อยากให้หลุด 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่มองว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้าน่าจะอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือถ้าจะอ่อนค่า หากทองคำปรับตัวลงคาดว่าจะลงไม่แรงแตะที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ให้กรอบเฉลี่ย 31-32.50 บาท ในช่วงที่เหลือของปี 

อย่างไรก็ตาม จากข้อูลในอดีตดอกเบี้ยที่ลดลงจะมีขีดจำกัดระยะเวลาที่จะส่งผ่านให้ดัชนีปรับตัวขึ้น แต่หลังจากนั้นตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอจะเริ่มเข้ามามีผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ เพิ่ม ถ้ามองตลาดหุ้นไทยเทียบต่างประเทศ หุ้นไทยยังไม่น่ากังวลถ้าเทียบกับสหรัฐฯ ที่ Valuation  แพง โดยหุ้นไทยดาวน์ไซด์ต่ำ 

แนะนำหลบภัยในหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศ ค้าปลีก เช่น CPALL ,CPAXT ,BJC  ไฟแนนซ์ KTC , AEONTS ,MTC อสังหาริมทรัพย์ เช่น AP,LH โรงพยาบาล เช่น BDMS โรงไฟฟ้า เช่น BGRIM ,GPSC  กองรีท เช่น 3BBIF, DIF , CPNREIT โดยประเมินแนวรับสัปดาห์หน้าที่ 1,270 จุด แนวต้านที่ 1,310 จุด 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง