Merck บริษัทผู้ผลิตยา จะอนุญาตให้ประเทศ 105 ประเทศ ผลิตยา "โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir)"
Merck: บริษัทยา Merck ของสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงกับองค์กรจัดการสิทธิบัตรยาร่วมที่ UN สนับสนุน ตกลงเปิดเผยสูตรการผลิตยา Molnupiravir แก่ 105 ประเทศยากจน ซึ่งไม่รวมประเทศไทย เพื่อให้ผลิตยาต้านโควิด-19 ตัวแรกของโลกนี้ได้เอง ป้องกันปัญหาประเทศยากจนไม่ได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียม ซ้ำรอยปัญหาการแย่งชิงวัคซีนต้านโควิด-19
New York Times รายงานว่า บริษัทยา Merck ของสหรัฐฯ ลงนามข้อตกลงกับ “องค์กรจัดการสิทธิบัตรยาร่วม” (Medicine Patent Pool) องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ หรือ UN ตกลงเปิดเผยสูตรการผลิตยาต้านโควิด-19 ตัวแรกของโลก Molnupiravir ให้แก่บริษัทหลายแห่งใน 105 ประเทศรายได้น้อยและปานกลาง ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปเอเชียและแอฟริกา แต่ไม่ร่วมประเทศไทย เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นสามารถผลิตยาต้านโควิด-19 ตัวแรกของโลกนี้ได้เอง และขายยาดังกล่าวในราคาถูกในประเทศเหล่านั้น
ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว บริษัทยาหลายแห่งใน 105 ประเทศยากจน จะได้รับใบอนุญาตแบบปลอดค่าสิทธิบัตร และจะได้รับสูตรการผลิตยา Molnupiravir และเริ่มการผลิตได้เอง
ด้าน ชาร์ลส กอร์ ผู้อำนวยการองค์กรจัดการสิทธิบัตรยาร่วม ที่บรรลุข้อตกลงกับ Merck ครั้งนี้ เปิดเผยความคืบหน้าล่าสุดว่า มีบริษัทกว่า 50 แห่งแล้วจากประเทศกำลังพัฒนา ได้ยื่นแสดงความจำนงต่อทางองค์กร เพื่อขอรับสิทธิ์ในการผลิตยา Molnupiravir แล้ว
หลังจากที Merck ประกาศว่าสามารถคิดค้นยาต้านโควิด-19 ตัวแรกของโลกได้ สร้างความตื่นเต้นดีใจไปทั่วโลก ขณะเดียวกัน ก็เกิดความหวั่นกลัวว่า ประเทศร่ำรวยจะพากันแย่งซื้อยาตัวนี้ไปได้ก่อน แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในการแย่งชิงกันซื้อวัคซีนต้านโควิด-19 จนเหลือวัคซีนไปถึงมือประเทศยากจนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือไปไม่ถึงเลยในบางประเทศ
การที่เมิร์คยอมแบ่งปันสูตรยา Molnupiravir ให้แก่ประเทศยากจนในครั้งนี้ ได้รับความชื่นชมอย่างมาก และเป็นความหวังว่า จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาประเทศยากจน เข้าไม่ถึงการรักษาโควิด ซ้ำรอยกับที่เคยเกิดปัญหาการแย่งชิงวัคซีนต้านโควิดมาแล้ว
เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เมิร์คได้ประกาศผลการทดลองยา Molnupiravir ในคนเป็นกลุ่มใหญ่ พบว่า ยาตัวนี้สามารถลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิต ในผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีความเสี่ยงสูงได้ โดยลดลงได้ถึงครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยทั้งหมดที่เข้ารับการทดลอง
ทางเมิร์คได้ส่งข้อมูลผลการทดลองดังกล่าว ประกอบการยื่นขอให้องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA เพื่อขออนุมัติการใช้ฉุกเฉินแล้ว และทาง FDA จะตัดสินใจอนุมัติหรือไม่ในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้