#เรื่องนี้พี่ขอเคลียร์ เปิด 9 ข้อคิดให้หนัก "เก็บภาษีขายหุ้น"
#เรื่องนี้พี่ขอเคลียร์ "เก็บภาษีขายหุ้น" ถือเป็นประเด็นที่ถูกจุดกระแสขึ้นมาอีกครั้ง และด้วยการที่นำกลับมาเหลาใหม่จนหลายคนได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าจะเกิดขึ้นจริงมั้ย จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หรือมันจะถูกกลบไปเหมือนที่เคยผ่านๆมา หรือมันจะมีประเด็นอื่นให้ต้องสงสัย อุ๊ยๆๆๆๆๆ
แน่นอนว่า ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือ. . . 9 ข้อนี้ที่พี่นิ้วโป้งอยากให้ทุกฝ่ายได้คิด วิเคราะห์ แยกแยะ เพื่อจุดประกายความคิดส่องแสงสว่างในเส้นทางการลงทุนตลาดหุ้นไทย
พี่นิ้วโป้ง - อธิป กีรติพิชญ์ นักลงทุนหุ้นแนว VI โพสต์ในเฟสบุค นิ้วโป้ง Fundamental VI ว่า เก็บภาษีขายหุ้น ดังนี้
1. กรณีที่รัฐเตรียมจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น (Financial Transaction tax) 0.1% ของมูลค่าขายเกิน 1 ล้านบาทต่อเดือน
ก็เข้าใจว่าเก็บภาษีไม่เข้าเป้า ...ก็ทราบอยู่ว่ารายจ่ายมันเยอะลดไม่ได้สำคัญทั้งนั้น
แต่การมาเก็บภาษีกับการขายหุ้น...มันมีผลกระทบ ได้ไม่คุ้มเสีย
เอาตรงๆคือ...ไม่เห็นด้วย
2. เราทราบกันดีว่า การลงทุนในระยะยาวให้ผลที่ดี หุ้นเป็นขาขึ้นในระยะยาว แม้จะไม่เติบโตมากแต่เงินปันผลนั้นตอบโจทย์
ความเป็นจริงคือ คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้ตลาดทุนในเชิงการออมการลงทุนมากเท่าที่ควร เรามีบัญชีลงทุนหุ้นที่แอคทีฟจริงอยู่ระดับ 2 ล้านบัญชีเท่านั้น
3. ด้วยเหตุนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้เกี่ยวข้องสารพัดฝ่าย จึงสนธิกำลังกันให้ข้อมูล ทำสารพัดโครงการ เพื่อสนับสนุนการลงทุนกับคนไทย ให้เป็นทางเลือกในการออมระยะยาว ทั้งโครงการ
#InvestNow
#ออมไว้ในหุ้น
#ลงทุนแบบDCA
#ห้องเรียนนักลงทุน24ชั่วโมง
4. ณ วันนี้ แม้จะดีขึ้นมาก แต่ตลาดทุนไทยก็ยังไม่ได้เป็นแหล่งหลักในการออมและการลงทุนของคนหมู่มากขนาดนั้น ถือว่ายังอยู่ในช่วงของการพัฒนา
คิดดูว่าขนาดดอกเบี้ยแบงค์ต่ำขนาด <1% ผู้คนก็ยังไม่กล้าลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ดี นี่ยิ่งจำเป็นต้องกระตุ้นให้ประชาชนมาออมในตลาดทุนเพิ่มมากขึ้น
5. การยกเลิก LTF ไปเมื่อ 2 ปีก่อน ก็ทำให้วอลุ่มของสถาบันในประเทศลดลงไปพอสมควรดอกนึงแล้ว ... นี่หากจะเก็บภาษีขายหุ้นอีก ก็จะเป็นการลดวอลุ่มลงทุนของรายย่อยลงไปอีกแน่นอน
ทั้ง LTF และการลงทุนหุ้น ยิ่งมีมากๆ ก็ยิ่งดี คนเหล่านี้จะดูแลตัวเองหลังเกษียณได้โดยไม่ต้องพึ่งพารัฐ ซึ่งนี่ตอบโจทย์ร้าบานเลยว่าคนไทยควรดูแลตัวเองได้ ไม่ใช่ทุกอย่างเรียกร้องแต่รัฐอย่างเดียว
6. การจัดเก็บภาษีจะทำให้ต้นทุนของนักลงทุนสูงขึ้น บางคนบอกว่า โธ่แค่ 0.1% เองจะดิ้นอะไรนักหนา
-> มันคือ 0.1% ของวอลุ่มการขายทั้งก้อนครับ ซึ่งมันไม่ใช่กำไรนะ คนขายหุ้นขาดทุนก็มีเยอะแยะ จะเก็บ 0.1% ของทั้งก้อนขายมันจะดีเหรอครับ เขาขาดทุนก็เจ็บแล้ว ต้องจ่ายภาษีเพิ่มอีก
-> ต้นทุนของนักลงทุน ตอนขายเราโดนอยู่แล้วค่า commission fee ของโบรคเกอร์ 0.1% (ยังต้องจ่ายVATอีกนะ) การเบิ้ลค่าภาษีอีก 0.1% มันคือเพิ่มต้นทุน "เท่าตัว" นะเว้ยเฮ้ย
7. นักลงทุนบางประเภท ที่เขาเทรดหุ้นไวไว จะได้รับผลกระทบสูง เพราะมีซื้อขายตลอดเวลา นลท.เหล่านี้คือคู่หยินหยางกับนลท.วีไอที่ร่วมสร้างสมดุลให้ตลาด
-> นลท.วีไอ ซื้อแล้วถือ สร้างเสถียรภาพ
-> นลท.ไวไว ซื้อขายทำกำไรกับส่วนต่าง สร้างสภาพคล่อง liquidity
8. สายไวไวที่หวังผลกำไรระยะสั้น ต้นทุนเพิ่ม จะกระทบต่อวอลุ่มการซื้อขายในภาพรวม
จากปัจจุบันที่มีมูลค่าการซื้อขายใน SET เฉลี่ยราว 7-9 หมื่นล้านบาทต่อวัน
นี่คือตลาดหุ้นที่วอลุ่มเทรดสูงสุดเป็นอับดับ 1 ในอาเซียน SETไทยนี่คือแชมป์ซีเกมส์นะครับ
อัตราภาษี...จะมีก็ต้องให้ตลาดหุ้นไทยแข่งขันได้ กับตลาดอื่นในภูมิภาคและตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย ไม่งั้นวอลุ่มหาย จะกลายเป็นตลาดที่ไม่มีคนเดิน
9. **ถ้าต้องการภาษีจริงๆ ยังไงก็ต้องเก็บเพิ่ม จะพิณาฯเก็บภาษีให้มันตรงเป้าหมายของตลาดหลักทรัพย์ และ กลต.ดีไหม?**
คือ SET จะมีการแจกใบเหลือง(cash balance T1 T2 T3) เตือนหุ้นร้อน เตือนนักลงทุนไว้อยู่แล้ว
จปส.คือต้องการลดความร้อนแรงของ "หุ้นไสยศาสตร์" ที่เทรดแบบบ้าคลั่ง ผิดกฏ ผิดผี
ก็เอาการเก็บภาษีซื้อขายหุ้นนี่แหละ มาใช้กับหุ้นไสยศาสตร์พวกนี้
-> โดน T1 เก็บภาษีไสยศาสตร์ 0.1%
เตือนก่อนจัดไปหนึ่งดอก
-> ถ้ายังปั่น เอ๊ยเฮี้ยนต่อได้อีก
โดน T2 เก็บภาษีไสยศาสตร์ 0.5%
-> ถ้ายังไม่หยุดอีก
โดน T3 เก็บภาษีไสยศาสตร์ 0.8%
เอาทั้งซื้อ ทั้งขาย ทำแบบนี้
-> SET ได้เตือนนักลงทุน
-> นักลงทุนได้ความยั้งคิด เพราะคชจ.แพงขึ้น
-> ร้าบานได้เก็บภาษี
วินทุกฝ่าย
#ฝากไว้พิณาฯ
.
ข้อมูลจาก เฟสบุค นิ้วโป้ง Fundamental VI