TASCO 'หยวนต้า' เปิดเหตุผล ปรับกำไรปี 67-69 ขึ้น คาดปันผล 5.3%
#ทันหุ้น - บล.หยวนต้า ส่องหุ้น บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO รอแรงหนุนจากการลงทุนมอเตอร์เวย์และทางพิเศษของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม.ได้มีมติเห็นชอบให้กรมทางหลวงดำเนินการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการมอเตอร์เวย์ M9 (บางขุนเทียน-บางบัวทอง) ในรูปแบบ PPP Net Cost ระยะเวลา 34 ปี (รวมเวลาก่อสร้าง 4 ปี, คาดเสร็จสิ้นภายในปี 2571) ภายใต้วงเงิน 4.7 หมื่นล้านบาท โดยมีกำาหนดเปิดประมูลในปี 2568
นอกจากนี้ ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมยังมีโครงการมอเตอร์เวย์และทางพิเศษที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานอีกราว 3 โครงการ ที่คาดมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า คือ 1) โครงการมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ (M5) มูลค่าการลงทุน 3.1 หมื่นล้านบาท (อยู่ระหว่างการรอบรรจุวาระการประชุม ครม.) 2) โครงการทางพิเศษฉลองรัช-วงแหวนนอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันออก มูลค่าลงทุน 1.7 หมื่นล้านบาท และ 3) โครงการทางพิเศษ จ. ภูเก็ต ระยะที่ 1 (กะทู้-ป่าตอง) มูลค่าลงทุนราว 1.6 หมื่นล้านบาท
โดยการลงทุนในโครงการมอเตอร์เวย์และทางพิเศษที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนความต้องการใช้งานยางมะตอยในประเทศและหนุนการเติบโตของรายได้ของบริษัทฯ ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า
อัพกำไรปี 2567-69 หลังธุรกิจยางมะตอยแนวโน้มดีต่อเนื่อง
ฝ่ายวิจัยปรับกำไรปี 2567-69 ขึ้น 25%, 14% และ 6% เป็น 1,902 ล้านบาท (-22% YoY), 1,999 ล้านบาท (+5% YoY) และ 2,013 ล้านบาท (+1% YoY) ตามลำดับ จากการปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2567-69 ขึ้นเป็น 12.4% (เดิม 10.7%), 12.4% (เดิม 11.3%) และ 12.5% (เดิม 12.1%) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจยางมะตอยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับปกติ หลังผ่านช่วงของการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีที่ล่าช้า และราคาน้ำมันดิบ (ใช้เป็นราคาอ้างอิงวัตถุดิบของบริษัทฯ) ที่มีแนวโน้มปรับตัวลงเร็วกว่าราคาขายยางมะตอยในประเทศ แนวโน้มกำไรเติบโต YoY ได้ต่อเนื่องในช่วง 3 ไตรมาสข้างหน้า
เบื้องต้นคาดกำไรปกติ Q4/67 ที่ระดับ 800 ล้านบาท +/- ทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้ต่อเนื่อง QoQ แม้ผ่านช่วงของการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณฯ เพราะปัจจัยฤดูกาลของธุรกิจในต่างประเทศจะสามารถชดเชยผลกระทบได้ ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้จากฐานที่ต่ำในปีก่อน หลังการอนุมัติงบประมาณฯ ไม่ล่าช้าเหมือนปีก่อนและคาดเริ่มเบิกจ่ายได้ในเดือน ธ.ค. รวมถึงคาดมีการเบิกจ่ายงบซ่อมแซมถนนหลังเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือคลี่คลาย หากมองไปช่วง Q1-Q2/68 คาดกำไรปกติจะสามารถเติบโต YoY ได้ต่อเนื่องจากการเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจในประเทศ (การเบิกจ่ายงบประมาณฯ ทำได้เต็มที่ ต่างจากปีก่อนที่การเบิกจ่ายเริ่มขึ้นในช่วงกลาง Q2/67)
ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 22.40 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ "ซื้อ”
ผลจากการปรับประมาณการขึ้นและการปรับ PBV ที่ใช้ประเมินมูลค่าขึ้นเป็น 2.0 เท่า (อิง PBV ย้อนหลัง 5 ปี +0.25SD) เพื่อสะท้อนสภาวะธุรกิจที่อยู่ในช่วงของการฟื้นตัว ส่งผลให้ได้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 ที่ 22.40 บาท/หุ้น มี Upside 13.7% และคาดเงินปันผลที่ระดับ 1.05 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield 5.3% (ปกติบริษัทฯ จะมีการแบ่งจ่ายเงินปันผล 2 งวด แต่ในปี 2567 บริษัทฯ ไม่ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล) คงคำแนะนำ "ซื้อ”