BAFSโค้งท้ายเติมน้ำมันพีค รับทรัพย์ไฮซีซันท่องเที่ยว
#BAFS #ทันหุ้น - BAFS มั่นใจปริมาณเติมน้ำมัน Jet A-1 โค้งท้ายเร่งสูงกว่า 14 ล้านลิตรต่อวัน รับ 3 ปัจจัยหนุนทั้งไฮซีซันท่องเที่ยว ไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ย้ายฐานเข้าดอนเมือง-AOT เปิดใช้รันเวย์ 3 หนุนปริมาณเติมน้ำมัน Jet A-1 ทั้งปี 2567 แตะ 5 พันล้านลิตร ตามเป้า ด้านขนส่ง น้ำมันทางท่อพุ่งแตะ 1.1 พันล้านลิตร เดินหน้าแตกไลน์น้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF) ด้านโบรกปรับประมาณการกำไรปกติขึ้น 2 ปีต่อเนื่อง อัพราคาเหมาะสมเป็น 22 บาท จากเดิม 18 บาท
ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยาน (Jet A-1) งวดไตรมาส 3/2567 มีแนวโน้มเติบโตราว 17% YoY และเพิ่มขึ้น 2% QoQ แตะที่ราว 1,217 ล้านลิตร หรือเฉลี่ยปริมาณการเติมน้ำมันเฉลี่ยที่ราว 12.8 ล้านลิตรต่อวัน
พร้อมคาดการณ์แนวโน้มปริมาณการเติมน้ำมัน Jet A-1งวดไตรมาส 4/2567จะสามารถเร่งตัวขึ้นสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ตารางการบินฤดูหนาว (Winter Schedule) ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว ประกอบกับสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ (Thai AirAsia X) ได้ย้ายกลับมาปฏิบัติการบิน ณ ท่าอากาศยานดอนเมืองตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณการเติมน้ำมันเฉลี่ยต่อวัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมาเร่งตัวขึ้นมาเฉลี่ยที่ 14.4 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 12.5% เมื่อเทียบกับวันที่ 30 กันยายน 2567 อย่างมีนัยสำคัญ
เติมน้ำมัน Jet พุ่ง
อีกทั้งบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOTเตรียมเปิดใช้ทางวิ่ง (Runway) ที่ 3 ในเดือนพฤศจิกายน 2567 นี้ จึงคาดว่าปริมาณการเติมน้ำมัน Jet A-1ทั้งปี 2567 จะเร่งตัวแตะที่ 5 พันล้านลิตร เพิ่มขึ้น 16% YoY ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และคิดเป็นการเติบโตราว 81% จากปริมาณการเติบน้ำมัน Jet A-1 ช่วงปี 2562
ด้านปริมาณการขนส่งน้ำมันทางท่องวดไตรมาส 3/2567เฉลี่ยที่ราว 100-106 ล้านลิตรต่อเดือน เร่งตัวขึ้นจากช่วงปี 2562 (ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19) ที่มีปริมาณการขนส่งน้ำมันทางท่อเฉลี่ยที่ราว 800ล้านลิตรต่อเดือน จึงคงมั่นใจว่าปริมาณการขนส่งน้ำมันทางท่อทั้งปี 2567 จะมีทำได้ 1,100 ล้านลิตรตามเป้า
สำหรับความคืบหน้าโครงการเชื่อมท่อขนส่งน้ำมันระหว่างบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด หรือ FPT กับบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด หรือ THAPPLINE นั้น ได้รับผลการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment EIA) เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถเข้าพื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้างได้ภายในไตรมาส 4/2567 นี้ ซึ่งบริษัทเตรียมงบประมาณการดำเนินงานเบื้องต้นที่ราว 1.2พันล้านบาทไว้เรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาการดำเนินงานราว 1 ปี และสามารถเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2570 ตามแผน
ทั้งนี้ เมื่อสามารถเปิดให้บริการท่อขนส่งน้ำมันในส่วนการเชื่อมท่อภาคตะวันออกแล้ว จะเพิ่มทั้งศักยภาพการขนส่งน้ำมัน และเพิ่มปริมาณลูกค้าที่จะเปลี่ยนมาขนส่งน้ำมันทางท่อแทนการขนส่งด้วยรถบรรทุก เพราะนอกจากจะช่วยให้สามารถขนส่งได้ในปริมาณมากแล้วยังสามารถกำหนดเวลาขนส่งได้อย่างแม่นยำ บริษัทจึงคาดการณ์ว่าปริมาณขนส่งน้ำมันทางท่อ ณ สิ้นปี 2570 จะเติบโตได้ราว 65 - 70%ต่อเนื่องจากปริมาณการขนส่งน้ำมันทางท่อสิ้นปี 2567
ขณะเดียวกัน บริษัทได้เตรียมความพร้อมสำหรับอุตสาหกรรมการบินในอนาคต ซึ่งองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) กำหนดให้เครื่องบินพาณิชย์ต้องเติมน้ำมันอากาศยานยั่งยืน Sustainable Aviation Fuel (SAF) ในสัดส่วนราว 75% ภายในปี 2593 โดยให้เริ่มเติมน้ำมัน Jet A-1 ที่มี SAF เป็นส่วนผสมในอัตรา 2% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
สร้างฐานรายได้แกร่ง
ทั้งนี้ บริษัทยังคงขยายการเติบโต ต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านธุรกิจบริการพลังงานอย่างยั่งยืน โดยบริษัทมีแผนขยายกำลังผลิตติดตั้งเชิงพาณิชย์ (COD) พลังงานทงเลือกอย่างเนื่อง โดยตั้งเป้ามีกำลังการผลิตติดตั้งเชิงพาณิชย์ ณ สิ้นปี 2567 ที่ 53 เมกะวัตต์ (MW) โดยกลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงานได้เข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ในประเทศญี่ปุ่น
และอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศมองโกเลียกำลังการผลิตติดตั้งเชิงพาณิชย์ที่ราว 21เมกกะวัตต์ เบื้องต้นคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2567 นี้ หากสามารถลงนามสัญญาร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงใบอนุญาตจากหน่วงงานภาครัฐบาลมองโกเลีย คาดว่าจะใช้เวลาการก่อสร้างราว 1-2 ปี เบื้องต้นตั้งเป้าเดินเครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในปี 2569
แนะ “ซื้อ”- เป้า 22 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินผลงาน BAFS งวดไตรมาส 3/2567 มีกำไรสุทธิ ที่ 50 ล้านบาท พลิกฟื้นจากขาดทุนสุทธิเมื่องวดไตรมาส 3/2566 (YoY) ที่ขาดทุน 3 ล้านบาท และปรับตัวขึ้น +14% เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 2/2567 (QoQ) และมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นในงวดไตรมาส 4/2567 สอดคล้องกับช่วงไฮ ซีซันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว-เดินทาง
จึงปรับประมาณการปกติทั้งปี 2567 ขึ้น 16% เป็น 237 ล้านบาท ฟื้นจากขาดทุนปกติปี 2566 ที่ 44 ล้านบาท และปรับกำไรปกติปี 2568 ขึ้น 16% แตะ 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% YoY สอดคล้องกับการปรับสมมติฐาน GPM ปี 2567 และปี 2568 ขึ้นปีละราว 43-44% จากการจัดการต้นทุนโดยรวมดีขึ้นรวมถึงปรับค่าใช้จ่ายทางการเงินลงเฉลี่ย 2-3% เพื่อสะท้อนทิศทางหนี้โดยรวมเริ่มลงและแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" พร้อมปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 22 บาท จากเดิม 18 บาท