Bond yields ที่สูงขึ้นฉุดการปรับขึ้นของ SET หลังเลือกตั้งปีนี้
#TIDLOR #ทันหุ้น - บล.กสิกรไทย ลดเป้า SET Index ลงเป็น 1,540 จุด จาก 1,666 จุด จากการลดตัวคูณ P/E จากอัตราตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นและการปรับ EPS จากการเปลี่ยนวิธีคำนวณเป้าของบล.กสิกรไทยที่ 1,540 จุด คำนวณด้วย EPS ปีหน้าที่ 102 บาท (ลดลงจาก 107 บาท) และ FWD PER 12 เดือนที่ 15 เท่า (+0.25SD) ลดลงจาก 15.60 บาท (+0.5SD)
หุ้นเด่นรายเดือนของบล.กสิกรไทย ได้แก่ TIDLOR, CPALL, MEGA, COM7, AP, ADVANC, SISB, SCGP, TOP, AOT, BA และ AMATA
Investment highlights
บล.กสิกรไทยมีมุมมองระมัดระวังมากขึ้นต่ออัตราตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น ซึ่งคาดจะฉุด P/E ของตลาด อัตราดอกเบี้ยของไทยปรับเพิ่มขึ้นจาก 1) แรงกดดันต่อเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 2) งบประมาณการของรัฐบาลที่ขาดดุลมากขึ้นเพื่อสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งส่งผลให้อุปทานพันธบัตรสูงขึ้นและ 3) กระแสเงินไหลออก จากนโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นของ Fed อัตราตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ระยะเวลา 10 ปี เพิ่มขึ้น 62bps YTD และคาดจะกดดัน SET Index ที่ 120 pts อิงจากรูปแบบ Earnings Yield Gap ของบล.กสิกรไทยที่อัตราตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ระยะเวลา 10 ปี ที่เพิ่มขึ้นทุก 25bps จะส่งผลให้ SET Index ลดลง 50 pts
ดังนั้น บล.กสิกรไทยจึงลดเป้า SET Index สิ้นปี 2566 ลงเป็น 1,540 จุด จาก 1,666 จุด เพื่อสะท้อนการลดตัวคูณ P/E และปรับประมาณการ EPS เป้า SET Index ที่ 1,540 จุด คำนวณด้วยประมาณการ EPS ปี 2567 ที่ 102 บาท (ลลดงจาก 107 บาท) และ PER ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 15 เท่า (+0.25SD) ลดลงจาก 15.60 บาท (+0.5SD) EPS ที่ลดลงมีสาเหตุจากการเปลี่ยนวิธีคำนวณจากวิธีมูลค่าแท้จริงเป็นถ่วงน้ำหนักด้วย market cap
ทั้งนี้ กำไรสุทธิในปี 2567ของตลาดยังอยู่ระดับเดิมที่ 1 ล้านลบ. บล.กสิกรไทยคงมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทยจาก 1) แนวโน้มกำไรสุทธิที่เติบโตมากขึ้นในปี 2567 (+19% YOY) 2) การเพิ่มตัวคูณมูลค่าจากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น 3) การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นจากโปรแกรมยกเลิกวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีนและ 4) สถานการณ์ทั่วโลกที่ดีขึ้นในไตรมาส4/2566 จากประมาณการ soft landing, การชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นของจีนในไตรมาส 4/2566 บล.กสิกรไทยคาดว่ากระแสเงินจะกลับเข้ามาอย่างช้า ๆ เมื่ออัตราตอบแทนพันธบัตรและราคาน้ำมันมีแนวโน้มพลิกกลับ
ปัจจัยเสี่ยงหลักในเดือนต.ค. ปัจจัยเสี่ยงหลักที่นักลงทุนควรจับตามอง ได้แก่ 1) การที่รัฐบาลไม่สามารถบริหารมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ/เงินอุดหนุนภายใต้ policy space ที่จำกัดของสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ 70% และต้นทุนเงินกู้เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นคาดจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน 2) ปัจจัยเสี่ยงด้านนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อกำไรของบางกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ราคาน้ำมันปลีก/ค่า Ft ที่ลดลงและการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและ 3ภาวะเงินเฟ้อระลอกสองจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นซึ่งอาจทำให้ Fed ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก
Preferred themes and top picks
บล.กสิกรไทยตัด BTS, CPN และ BBIK ออกจากรายชื่อหุ้นเด่น และเลือก COM7, SISB และSCGP เข้ามาแทน มี 6 ธีมลงทุนในเดือนนี้ ได้แก่
ผู้เล่นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล (TIDLOR, CPALL, MEGA, COM7, AP และ ADVANC) บล.กสิกรไทยเลือกบริษัทที่คาดจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย
ผู้เล่นที่มีการเติบโตสูง (SISB) บล.กสิกรไทยคาดว่า SISB จะรายงานกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นแข็งแกร่งหนุนจากอุปสงค์โรงเรียนนานาชาติที่มากขึ้น
ผู้เล่นที่พื้นตัว (SCGP) บล.กสิกรไทยคาดว่ากำไรสุทธิครึ่งหลังปีนี้จะเพิ่มขึ้น 19% HoH หนุนจากต้นทุนพลังงานที่ลดลงและสภาวะเศรษฐกิจนที่ฟื้นตัวขึ้น
GRM ที่สูงขึ้น (TOP) บล.กสิกรไทยคาดว่ากลุ่มโรงกลั่นจะได้ประโยชน์มากที่สุดจาก GRM ที่สูงขึ้นจากคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันของรัสเซีย
ผู้เล่นกลุ่มท่องเที่ยว (AOT, BA) จากจำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าที่คาดจะมากขึ้นในครึ่งหลังปีนี้หนุนจากโปรแกรมฟรีวีซ่า
ผู้เล่นที่ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต (AMATA) บล.กสิกรไทยคาดว่ากลุ่มนิคมฯ จะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค
รู้ทันเกม รู้ก่อนใคร ติดตาม "ทันหุ้น" ที่นี่
FACEBOOK คลิก https://www.facebook.com/Thunhoonofficial/
YOUTUBE คลิก https://www.youtube.com/channel/UCYizTVGMealUUalT6VdUdNA
Tiktok คลิก https://www.tiktok.com/@thunhoon_
LINE@ คลิก https://lin.ee/uFms4n5
TELEGRAM คลิก https://t.me/thunhoon_news
Twitter คลิก https://twitter.com/thunhoon1