รีเซต

What if ? จะเกิดอะไรขึ้น หากพรุ่งนี้มนุษย์ทุกคนหยุดกินเนื้อสัตว์

What if ? จะเกิดอะไรขึ้น หากพรุ่งนี้มนุษย์ทุกคนหยุดกินเนื้อสัตว์
TNN ช่อง16
29 ธันวาคม 2566 ( 17:49 )
44
What if ? จะเกิดอะไรขึ้น หากพรุ่งนี้มนุษย์ทุกคนหยุดกินเนื้อสัตว์

มนุษย์กินเนื้อสัตว์จำนวนมากในแต่ละปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8 แสนล้านปอนด์ หรือ 35.2 ล้านล้านบาท และการกินเนื้อนี้เองเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้โลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งก๊าซมีเทนที่ปล่อยออกมาจากการเลี้ยงสัตว์ หรือการปลูกพืชที่เอาไว้ให้สัตว์กิน เกษตรกรก็จะฉีดปุ๋ยที่ปล่อยไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกชนิดหนึ่ง ดังนั้นนักเคลื่อนไหวจึงออกมารณรงค์ให้มนุษย์กินเนื้อสัตว์น้อยลง


คำถามคือ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพรุ่งนี้ทุกคนหยุดกินเนื้อสัตว์จริง ๆ ?

ผลที่ตามมาก็คือความวุ่นวาย เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ผู้คนตกงาน และคุกคามความมั่นคงทางอาหารในสถานที่ที่ไม่มีทางเลือกทางโภชนาการ


ทั้งนี้ปศุสัตว์คิดเป็นประมาณ 40% ของการผลิตทางการเกษตรในประเทศร่ำรวย และ 20% ในประเทศที่มีรายได้น้อย และมีความสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและโภชนาการ


ในประเทศที่มีรายได้น้อย เช่น ไนเจอร์ หรือ เคนยา ซึ่งฟาร์มและปศุสัตว์ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ เศรษฐกิจจะเสียหาย โดยสำหรับไนเจอร์ อุตสาหกรรมปศุสัตว์คิดเป็นประมาณ 13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ


นอกจากนี้ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกจะตกงาน แต่ก็จะมีอุตสาหกรรมที่ผลิตแคลอรี่และโปรตีนจากแหล่งอื่นเพิ่ม ก็จะทำให้ทดแทนการว่างงานเหล่านี้ได้บางส่วน นักวิจัยบางคนตั้งสมมติฐานว่าการเปลี่ยนแปลงด้านแรงงานอาจชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ผลกระทบจะแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และระบบการเมืองของแต่ละประเทศ


อีกหนึ่งเรื่องที่ควรพิจารณาอย่างมากหากหยุดกินเนื้อสัตว์ ก็คือ ปัญหาด้านโภชนาการ ทั้งนี้พบว่าแคลอรี่ที่ผู้คนทั่วโลกกินนั้นมาจากสัตว์เกือบ 20% การเลิกทำการปศุสัตว์ในชั่วข้ามคืน จะทำให้ผู้คนจำนวนมากขาดสารอาหารที่จำเป็น โดยเฉพาะในภูมิภาคอย่างเอเชียใต้และบริเวณตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา เพราะเนื้อสัตว์ประกอบไปด้วยสารอาหารเยอะ เช่น วิตามินบี 12 วิตามินเอ แคลเซียม และธาตุเหล็กสูง นั่นเป็นเหตุผลที่นักวิจัยบางคนบอกว่า กุญแจสำคัญในการมีสุขภาพที่ดีของคนในประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางคือให้กินเนื้อสัตว์และไข่ 


ยังมีความเสียหายด้านวัฒนธรรมอีกด้วย ดังที่วิลสัน วอร์เรน (Wilson Warren) ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มิชิแกน กล่าวว่า การหยุดกินเนื้อสัตว์ จะเป็นการกีดกันให้ชาวอเมริกันไม่ได้กินฮอทด็อก แฮมเบอร์เกอร์ และชาวอิตาเลียนไม่ได้กินซาลามิ


นำเนื้อสัตว์ออกไป จะทำมากกว่าการกีดกันชาวอเมริกันจากฮอทด็อก แฮมเบอร์เกอร์ และชาวอิตาเลียนจากซาลามิ นอกจากนี้เขายังบอกว่าในอดีต วิธีที่คนเข้าใจสัตว์มากขึ้นก็เกิดจากการทำฟาร์มและการติดต่ออย่างใกล้ชิดขณะทำปศุสัตว์นั่นเอง ซึ่งหากหยุดกินเนื้อสัตว์ หยุดทำปศุสัตว์ ผู้คนก็จะมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมน้อยลง


นักวิจัยหลายคนเห็นพ้องกันว่าการเลิกกินเนื้อสัตว์โดยสิ้นเชิง ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดสำหรับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ยาน ดุตคีวิคซ์ (Jan Dutkiewicz) นักเศรษฐศาสตร์การเมืองชาวอเมริกัน แนะนำให้ใช้แนวทางที่กำหนดโดย EAT-Lancet Commissiont ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศ ที่ออกแบบอาหารที่ให้สารอาหารจำเป็นโดยไม่ทำลายโลก เช่นการลดกินเนื้อไก่และวัวลงในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย จีน บราซิล และอาร์เจนตินา และให้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในบางส่วนของแอฟริกาและเอเชียใต้


ทั้งนี้หากพรุ่งนี้มนุษย์ทุกคนหยุดกินเนื้อสัตว์มันจะมีประโยชน์อย่างมาก คือ ในระยะเวลา 15 ปี เราจะลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้มากถึง 1 ใน 3 ของทั้งหมด ลดการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ได้ 2 ใน 3 ของทั้งหมด ลดการใช้น้ำลงอย่างมาก ความหลากหลายทางชีวภาพจะเสียหายช้าลง มีพื้นที่ว่างเพิ่มจำนวนมากให้ปลูกพืช ในระดับที่สามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 550 กิกะตันต่อปี ซึ่งเพียงพอที่จะช่วยให้เรารักษาภาวะโลกร้อนให้ต่ำกว่าระดับหายนะได้อย่างดี แต่เมื่อพิจารณาถึงหลายปัจจัยและความซับซ้อนมากมาย นักวิจัยและผู้สนับสนุนได้ชี้ไปที่วิธีที่ง่ายกว่านั้นคือลดการผลิตเนื้อสัตว์ลงครึ่งหนึ่ง และทดแทนส่วนที่เหลือด้วยอาหารจากพืช ซึ่งมันจะช่วยปล่อยมลพิษทางการเกษตรได้ 31% ภายในปี 2050


ทั้งนี้ บทความนี้ถือเป็นการตั้งคำถาม เพื่อให้เราฉุกคิดถึงวิธีรับมือกับปัญหาภาวะโลกร้อนได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งยังมีวิธีอื่น ๆ อีกมากมายที่เราสามารถช่วยกันลดภาวะโลกร้อนได้ เช่น การปลูกต้นไม้ที่มากขึ้น ลดการใช้พาหนะที่มีเครื่องยนต์สันดาป หรือแม้กระทั่งปิดสวิตช์ไฟทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้ ก็สามารถขับเคลื่อนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แล้ว


ที่มาข้อมูล Grist

ที่มารูปภาพ Freepik

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง