หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ Q4/67 อ่อนแอ เผชิญความท้าทายสงครามการค้า

#หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์ โดย บล.กสิกรไทย
สรุปผลประกอบการไตรมาส 4/67
กำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ลดลง 81% YoY และ 85% QoQ จากการดำเนินงานหลักที่อ่อนแอตามยอดขายที่ลดลง และค่าใช้จ่ายพิเศษ
คาดจะเกิดความไม่แน่นอนในช่วงครึ่งแรกของปี 68 เนื่องจากบริษัทต่างๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งในระดับบริษัทและระดับโลกจากภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯ
คงมุมมองที่เป็นกลางต่อกลุ่มธุรกิจ เรามองว่าปัจจัยกระตุ้นเชิงบวกต่อกำไรในครึ่งแรกของปี 68 มีอยู่อย่างจำกัด เราเลือก SVI เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มธุรกิจนี้
Investment Topics
กำไรไตรมาส 4/67 ของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อ่อนแอ กลุ่มธุรกิจนี้มีกำไรสุทธิรวมจำนวน 1.0 พันลบ. ลดลง 81%YoY และ 85% QoQ ถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบหลายปี สาเหตุหลักมาจากการดำเนินงานหลักที่อ่อนแอ ตามยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ลดลง ขณะที่บริษัทต่างๆ บันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษในไตรมาสนี้เช่นกัน SVI รายงานกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งที่สุด โดยเติบโตทั้ง YoY และ QoQ สาเหตุหลักมาจาก GPM ที่ขยายตัว ขณะที่ HANA รายงานผลขาดทุนสุทธิก้อนใหญ่ ทำให้ตลาดสะเทือนจากค่าตัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่โรงงานในเกาหลีใต้มูลค่า 1.70 พันลบ. หลังจากที่บริษัทฯ ประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง
ยอดขายชะลอตัวลง ขณะที่ GPM หดตัว รายได้จากการขายของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อยู่ที่ 5.34 หมื่นลบ. เพิ่มขึ้น 5% YoY สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของ DELTA แต่ลดลง 5% QoQ ทั้งกระดาน ตามความต้องการที่อ่อนแอในตลาดปลายทาง เช่น ยานยนต์ อุตสาหกรรม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจนี้ยังได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ GPM ลดลง
แนวโน้มครึ่งแรกของปี 68 ไม่น่าดึงดูดใจ ถึงแม้เราจะคาดว่ากำไรไตรมาส 1/2568 จะฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในไตรมาส 4/2567 แต่เรายังคาดว่ากำไรจะลดลง YoY จาก 1) ฐานความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่อ่อนแอ 2) การนำภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (GMT) มาบังคับใช้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อกำไรสุทธิของ DELTA 3) อัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งแกร่งขึ้นจะทำให้ GPM ลดลง 4) ปัญหาของแต่ละบริษัท เช่น ค่าลิขสิทธิ์ที่สูงขึ้นของ DELTA การขาดทุนต่อเนื่องของธุรกิจ PMS ของ HANA และความล่าช้าในการรับรู้รายได้ รวมถึงค่าธรรมเนียมทางกฎหมายและที่ปรึกษาของ KCE ในการเข้าซื้อกิจการ 5) ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและภาษีศุลกากร ส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เลื่อนการซื้อออกไปเพื่อรอความชัดเจน
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้า เรามองว่ากลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเริ่มต้นโดยสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ โดย ณ ปัจจุบัน เราเชื่อว่ามีความไม่แน่นอนสูงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว สหรัฐฯ เพิ่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% และแคนาดาและเม็กซิโก 25% เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ซึ่งสหรัฐฯ มีแผนจะขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม 25% ในวันที่ 12 มี.ค. และภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ในวันที่ 2 เม.ย. นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีแผนที่จะขึ้นภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ ยาง ทองแดง ฯลฯ ในเดือน เม.ย. นี้อีกด้วย
Valuation and Recommendation
คงมุมมองที่เป็นกลางต่อกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กหรอนิกส์ เราคงมุมมองที่เป็นกลางต่อกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากเราคาดว่าปัจจัยกระตุ้นต่อกำไรในระยะสั้นของกลุ่มธุรกิจจะมีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่แนวโน้มยังคงไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่ไทยอาจต้องเผชิญ โดย SVI เป็นหุ้นตัวเดียวที่เราแนะนำ "ซื้อ" ในกลุ่มธุรกิจนี้ เนื่องจากมีปัจจัยเฉพาะตัว น้อยที่สุด