เจ้าชายแฮร์รีประสงค์คืนดีราชวงศ์หลังแพ้คดีคุ้มครองความปลอดภัย

เจ้าชายแฮร์รี ดยุกแห่งซัสเซกซ์ ทรงให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า พระองค์ “ปรารถนาที่จะคืนดี” กับราชวงศ์อังกฤษ โดยในบทสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก พระองค์ตรัสว่า "เสียใจมาก" ที่พ่ายแพ้ในคดีทางกฎหมายกรณีถูกตัดสิทธิในการรักษาความปลอดภัยส่วนพระองค์ เมื่อประทับอยู่ในสหราชอาณาจักร
เมื่อวานนี้ (2 พฤษภาคม) เจ้าชายแฮร์รีทรงแพ้คดีทางกฎหมายที่ฟ้องร้องกรณีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงด้านความปลอดภัยของรัฐบาลอังกฤษ หลังจากที่พระองค์ตัดสินใจลาออกจากภารกิจของราชวงศ์ ร่วมกับเมแกน พระชายาชาวอเมริกัน
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากแพ้คดีในศาลกับรัฐบาลอังกฤษ เจ้าชายแฮรีทรงให้สัมภาษณ์กับบีบีซีอย่างซาบซึ้ง โดยกล่าวว่าพระองค์ไม่คิดว่าจะสามารถนำครอบครัวกลับมายังอังกฤษได้
เจ้าชายแฮร์รี พระราชโอรสองค์เล็กของกษัตริย์ชาร์ลส์ พยายามจะยกเลิกการตัดสินใจของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกระทรวงที่รับผิดชอบด้านการตำรวจ ที่ตัดสินใจในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ว่า พระองค์จะไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลจากตำรวจโดยอัตโนมัติในขณะที่อยู่ในอังกฤษ
เมื่อปีที่แล้ว ศาลสูงในกรุงลอนดอนมีคำพิพากษาว่า การตัดสินดังกล่าวเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และมีการยืนตามการตัดสินดังกล่าวโดยผู้พิพากษาอาวุโสของศาลอุทธรณ์ 3 คน โดยผู้พิพากษาผู้นี้กล่าวว่า แม้ว่าแฮร์รีจะรู้สึกไม่พอใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ก็ไม่ได้ถือเป็นข้อผิดพลาดทางกฎหมายในการตัดสินดังกล่าว
ผู้พิพากษาเจฟฟรีย์ วอส กล่าวว่า ทนายความของแฮร์รีได้ให้ "ข้อโต้แย้งที่ทรงพลังและน่าประทับใจ" เกี่ยวกับผลกระทบของการตัดสินใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของพระองค์
เจ้าชายแฮร์รี พระชนมายุ 40 พรรษา ซึ่งปัจจุบันประทับอยู่ในแคลิฟอร์เนียกับเมแกน และรัชทายาท 2 องค์ เข้าร่วมฟังการไต่สวนสองวันในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งทนายความของพระองค์ แถลงต่อศาลว่า พระองค์ถูกเลือกปฏิบัติด้วยวิธีการที่แตกต่าง ไม่ยุติธรรม และด้อยกว่า
ทนายความระบุด้วยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ กลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์เรียกร้องให้มีการสังหารพระองค์ และพระองค์กับเมแกน พระชายา ก็มีส่วนเกี่ยวข้องใน "การไล่ล่ารถยนต์อันตรายโดยช่างภาพอิสระ หรือปาปารัสซีในนิวยอร์กซิตี้" สหรัฐฯ ในปี 2566
เจ้าชายแฮรีตรัสว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ พระบิดา "ไม่ได้คุยกับข้าพเจ้าเพราะเรื่องความปลอดภัย" แต่ว่าพระองค์ไม่อยากสู้ต่อไปอีกแล้ว และ "ไม่ทราบว่า พระบิดาจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน"