รีเซต

เติมน้ำมันผิด ต้องทำอย่างไร? เพื่อไม่ให้รถพังไปซะก่อน

เติมน้ำมันผิด ต้องทำอย่างไร? เพื่อไม่ให้รถพังไปซะก่อน
TNN ช่อง16
8 มิถุนายน 2566 ( 12:00 )
3
เติมน้ำมันผิด ต้องทำอย่างไร? เพื่อไม่ให้รถพังไปซะก่อน

ไขข้อสงสัย "เติมน้ำมันผิด" ผิดประเภทต้องทำยังไง ต้องแก้ไขอย่างไรเพื่อไม่ให้รถพัง ดูข้อมูลได้เลยที่นี่!


เติมน้ำมันผิด เรียกว่าปัจจุบันยังคงมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง มีทั้งพนักงานเติมผิด และ ผู้ใช้รถบอกชื่อน้ำมันผิด ซึ่งเมื่อเติมผิดแล้วทำให้เกิดปัญหาตามมา หลายคนก็ยังไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรก่อนดีเผื่อไม่ให้เครื่องยนต์พัง โดยข้อมูลจาก FIT Auto ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ได้ให้ข้อมูลไว้ดังนี้


รู้ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์


1. ปิดสวิตช์กุญแจห้ามสตาร์ทรถยนต์โดยเด็ดขาด เพราะน้ำมันเชื้อเพลิงที่เติมผิดจะถูกปั๊มดูดเข้าไปในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงทันที


2. แจ้งพนักงานปั๊มให้ติดต่อช่างมาดูดน้ำมันเชื้อเพลิงที่เติมผิดออกจากถังน้ำมันเชื้อเพลิงให้หมด


3. เติมน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกต้องลงไปในถังให้พอสตาร์ทติด เช่น 5-10 ลิตร


4. บิดสวิตช์กุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์จนเครื่องยนต์ติดแล้วปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานที่รอบเดินเบา ประมาณ 850+/-50 รอบต่อนาที (ดูเข็มวัดรองบนหน้าปัด-แบบดิจิตอล) และห้ามเร่งรอบเครื่องยนต์โดยเด็ดขาด


5. สังเกตดูว่ามีไฟเตือนต่างๆ โชว์บนหน้าปัดหรือไม่ (ถ้าปกติจะไม่มีรูปอะไรโชว์เลย)


6. เปิดสวิตช์อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มภาระของเครื่องยนต์ให้มากขึ้น เช่น แอร์ไฟแสงสว่างทั้งหมดหรือหมุนพวงมาลัยซ้ายสุด-ขวาสุด และให้สังเกตอาการของเครื่องยนต์ เช่น สั่นสะเทือนหรือมีแนวโน้มจะดับหรือไม่


7. เลื่อนคันเกียร์ไปตำแหน่งขับเคลื่อน “D” หรือเหยียบคลัตช์เข้าเกียร์ 1 สำหรับเกียร์ธรรมดา พร้อมเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนที่


8. ขับรถที่ความเร็วรอบต่ำไปสักระยะหนึ่งรอจนกว่าเครื่องยนต์ทำงานปกติแล้วจึงเพิ่มความเร็วรอบของเครื่องยนต์และรถยนต์ได้อย่างปกติ

รู้หลังสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้วจนหยุดทำงาน


1. ให้ปิดสวิตช์กุญแจดับเครื่องยนต์ทันที


2. แจ้งพนักงานปั๊มให้ติดต่อช่างมาดูดน้ำมันเชื้อเพลิงที่เติมผิดออกจากถังทั้งหมด


3. ถอดและเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงลูกใหม่


4. ถอดหัวฉีด (ดีเซลหรือเบนซิน) และหัวเทียน (เบนซิน) ล้างทำความสะอาดหรือเปลี่ยนใหม่


5. ถอดปั๊มหัวฉีดเครื่องยนต์ดีเซลส่งไปร้านเทสปั๊มหัวฉีดดีเซล (เครื่องยนต์เบนซินไม่มี)


6. ถอดฝาสูบเครื่องยนต์ เช็กความบิดเบี้ยว (ฝาโก่ง) ก้านวาล์ไอดี-ก้านวาล์วไอเสียคดหรือไม่ (อาจจะต้องเปลี่ยนฝาสูบและก้านวาล์วทั้งไอดีและไอเสีย)


7. หลังจากจัดการข้อ 4-6 เรียบร้อยแล้วให้ประกอบเข้ากับเครื่องยนต์แล้วเติมน้ำมันเชื้อเพลิงใส่ในถังประมาณ 5-10 ลิตร


8. เติมน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกต้องลงไปในถังให้พอสตาร์ทติด เช่น 5 -10 ลิตร


9. บิดสวิตช์กุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์จนเครื่องยนต์ติดแล้วปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานที่รอบเดินเบา ประมาณ 850+/-50 รอบต่อนาที (ดูเข็มวัดรองบนหน้าปัด-แบบดิจิตอล) และห้ามเร่งรอบเครื่องยนต์โดยเด็ดขาด


10. สังเกตดูว่ามีไฟเตือนต่างๆ โชว์บนหน้าปัดหรือไม่ (ถ้าปกติจะไม่มีรูปอะไรโชว์เลย)


11. เปิดสวิตช์อุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มภาระของเครื่องยนต์ให้มากขึ้น เช่น แอร์ไฟแสงสว่างทั้งหมดหรือหมุนพวงมาลัยซ้ายสุด-ขวาสุด และให้สังเกตอาการของเครื่องยนต์ เช่น สั่นสะเทือนหรือมีแนวโน้มจะดับหรือไม่


12. เลื่อนคันเกียร์ไปตำแหน่งขับเคลื่อน “D” หรือเหยียบคลัตช์เข้าเกียร์ 1 สำหรับเกียร์ธรรมดา พร้อมเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนที่


13.ขับรถที่ความเร็วรอบต่ำไปสักระยะหนึ่งรอจนกว่าเครื่องยนต์ทำงานปกติแล้วจึงเพิ่มความเร็วรอบของเครื่องยนต์และรถยนต์ได้อย่างปกติ


ขอบคุณข้อมูลจาก FIT Auto

ภาพจาก AFP

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง